‘ประท้วงฮ่องกง’แตกต่างไม่แตกแยก
เมื่อวัดจากมาตรฐานการชุมนุมของฮ่องกงตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นมา สองอาทิตย์หลังถือว่าดุเดือด แต่มีนักเคลื่อนไหวสายกลางเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่อยากทอดทิ้งสหายหัวรุนแรง
กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยระดับฮาร์ดคอร์ของฮ่องกง ส่อแววว่าจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกขณะ พุ่งเป้าไปยังทรัพย์สินของภาคเอกชน ธุรกิจ หรือแม้แต่ประชาชน ทำให้ขบวนการต้องทบทวนจิตวิญญาณการเคลื่อนไหวกันใหม่ แม้วัดจากมาตรฐานการชุมนุมของฮ่องกงตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นมา สองอาทิตย์หลังถือว่าดุเดือด แต่มีนักเคลื่อนไหวสายกลางเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่อยากทอดทิ้งสหายหัวรุนแรง
หลายเดือนมาแล้วที่มวลชนไม่พอใจตำรวจ รัฐบาลฮ่องกง และสัญลักษณ์การปกครองของรัฐบาลปักกิ่ง ครั้นแคร์รี หล่ำ หัวหน้าคณะบริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประกาศใช้อำนาจฉุกเฉินห้ามสวมหน้ากาก ผู้ประท้วงสายแข็งก็ตะลุย สร้างความเสียหายทั่วเมือง
ระบบรถไฟใต้ดินถูกเล่นงานจนเป็นอัมพาต เครื่องจำหน่ายตั๋วราว 2,400 เครื่อง ทางเข้าสถานีแบบเหล็กหมุน กล้องวงจรปิด 900 ตัว ใน 83 สถานีจาก 94 สถานีเสียหายยับเยิน ธุรกิจใดที่ถูกมองว่า เป็นของชาวจีนหรือภักดีกับปักกิ่ง จะถูกพ่นรหัสสี บอกให้ทราบว่า บริษัทไหนสมควรถูกเล่นงาน บริษัทไหนต้องปล่อยไปอย่าไปแตะต้อง และหลายครั้งที่เกิดเหตุผู้ประท้วงทำร้ายผู้ที่คิดต่างทางการเมือง
ตัวอย่างเช่น พนักงานชาวจีนคนหนึ่งของเจพีมอร์แกนถูกชกหน้า มวลชนตะโกนไล่ “กลับบ้านไปซะ!” หรือชายอีกคนพยายามหยุดไม่ให้ผู้ประท้วงฉีกธงชาติจีนก็ถูกเล่นงาน
การเคลื่อนไหวที่เดิมทีต้องการปกป้องความเป็นอิสระของระบบยุติธรรมฮ่องกง ไม่ให้อำนาจเผด็จการจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาแทรกแซง ตอนนี้กลายเป็นการตัดสินกันบนท้องถนน
บรรยากาศแบบนี้ชวนให้ชาวเน็ตต้องมาหารือกันบนแพลตฟอร์มที่มักจะนัดกันไปชุมนุม
โพสต์หนึ่งซึ่งมีคนเห็นชอบกว่า 9,000 ครั้ง ตั้งคำถามว่า กลุ่มฮาร์ดคอร์วางเป้าหมายผิดหรือไม่
“ขืนสร้างความเสียหายแบบนี้อีกล่ะก็มีแต่จะทำให้ประชาชนเบือนหน้าหนี ประชาคมโลกก็ไม่เอาด้วย” เจ้าของโพสต์เชื่อว่า ความรุนแรงแบบนี้เหมือนการผลิตซ้ำความรุนแรงโดยพวกเรดการ์ดของเหมา เจ๋อตง
ตอนแถลงข่าวเมื่อคืนวันศุกร์ (11 ต.ค.) กลุ่มผู้ประท้วงนิรนามพูดเป็นนัยว่า ความรุนแรงอาจถูกต่อต้าน
“ผมหวังว่าเพื่อนๆ คงไม่ถูกความเกลียดชังครอบงำ” โฆษกกล่าว แต่ได้ผลเพียงเล็กน้อย วันอาทิตย์ (13 ต.ค.) เกิดเหตุวุ่นวายและเหตุตะลุมบอนกันทั่วเมือง
ขณะเดียวกันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวระหว่างเยือนเนปาลอย่างเป็นทางการว่า ความพยายามแบ่งแยกจีนจะถูกบดขยี้เป็นผุยผง
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงยังไม่มีทีท่าลดทอนการสนับสนุนการประท้วงฮ่องกงลงได้
ตี้ซัน ซิง นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่าเป็นเพราะทั้งรัฐบาลปักกิ่งและฮ่องกงไม่ได้ให้อะไรเพื่อบรรเทาเหตุการณ์ไม่ให้บานปลาย สี่เดือนผ่านไปมีแต่ใช้ไม้แข็ง ตอบสนองม็อบเพียงเล็กน้อย
“ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่า เหตุร้ายใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างรัฐบาลปักกิ่ง ฮ่องกง และตำรวจ การที่ตำรวจใช้ความรุนแรงมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญทำให้แรงสนับสนุนผู้ประท้วงไม่ลดน้อยลงแม้มีการใช้กำลังเพิ่มขึ้นก็ตาม”
ตำรวจไล่จับผู้ประท้วงอย่างเมามัน ไม่กี่วันก่อนแค่สัปดาห์เดียวยิงแก๊ซน้ำตาไปเกือบ 2,000 นัด เทียบกับช่วงสองเดือนแรกใช้แค่ 1,000 นัด วัยรุ่น 2 คน ถูกยิงด้วยกระสุนจริงบาดเจ็บระหว่างเหตุตำรวจตะลุมบอนกับผู้ประท้วง ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีถ่ายภาพตำรวจนายหนึ่งทุ่มถังขยะหนักอึ้งจากสะพาน เข้าใส่ผู้ประท้วงที่กำลังหนีกระเจิง
ผู้ประท้วงยืนยันว่า เราจะไม่ทิ้งกัน การเคลื่อนไหวต้องผสานกันเป็นหนึ่ง แม้ว่าประชาชนจะไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
“แม้ว่าเราไม่เห็นด้วยทั้งหมดกับสิ่งที่พวกเขาทำ แต่อย่างน้อยเราก็พยายามแสดงออกว่าเราเห็นใจและเข้าใจ” คลอเดีย โม ส.ส.ฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกล่าว
บอนนี เหลียง ผู้ช่วยจัดการชุมนุมใหญ่หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลฮ่องกงไม่สนใจ กล่าวว่า ผู้ประท้วงสายกลางหลายคนซาบซึ้งกับการเคลื่อนไหวของสายฮาร์ดคอร์ ถึงกับเรียกว่า “กล้าหาญ”
“ผู้ประท้วงทุกคนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณผู้กล้าเหล่านี้ ถ้าไม่มีพวกเขากฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนคงผ่านสภาได้แล้ว แต่ก็มีการหารือเรื่องยุทธวิธีกันด้วย ว่าเหตุการณ์จะบานปลายมั้ย อะไรไม่ควรทำ เราไม่แน่ใจ เราปรึกษา พยายามอธิบายเหตุผล แต่พวกเรายังคงเป็นหนึ่งไม่แตกแยก” บอนนีกล่าว
จอห์น วัย 40 เศษ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็นนักประท้วงสายกลาง เล่าขณะนั่งกินแมคโดนัลด์กับลูกชายวัย 9 ขวบ ถึงเหตุผลว่าทำไมตัวเขาและครอบครัวชนชั้นกลางยังคงสนับสนุนผู้กล้า
“พวกเขาปกป้องขบวนการ โดยรับความเสี่ยงทั้งหมดเอาไว้เอง ตอนนี้เราต้องออกไปช่วยพวกเขา”
เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นวานนี้ (14 ต.ค.) นักเคลื่อนไหวมีกำหนดรวมตัวกันที่ชาร์เตอร์การ์เดนในย่านแอดไมรัลตี ใกล้กับสำนักงานรัฐบาลฮ่องกง หนึ่งวันหลังจากการชุมนุมอย่างสงบกลายเป็นความโกลาหลเมื่อวันอาทิตย์ ผู้ประท้วงและตำรวจปะทะกันหลายจุดทั่วเมือง ถือเป็นเหตุร้ายแรงที่สุดอีกครั้ง เจ้าหน้าที่คนหนึี่งถูกผู้ประท้วงปาดคอต้องนำส่งโรงพยาบาล
ตำรวจเผยว่า ผู้ประท้วงในเจิ้งกวนโอ เขตนิวเทอริทอรีส์ ใช้ของแข็งทำร้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย ต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการศีรษะแตก
นอกจากนี้ผู้ประท้วงยังปาระเบิดเพลิงกว่า 20 ลูกเข้าใส่สถานีตำรวจในย่านมงก๊ก ตรงข้ามท่าเรือในฝั่งเกาลูน ทำลายสถานีรถไฟใต้ดิน รวมถึงธุรกิจของชาวจีนหรือคนที่มีทีท่าสนับสนุนปักกิ่ง
ด้านแคร์รี หล่ำ มีกำหนดแถลงนโยบายประจำปีในวันพุธ (16 ต.ค. ) ท่ามกลางแรงกดดันให้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในรัฐบาล หลังจากฮ่องกงเผชิญวิกฤติการเมืองครั้งใหญ่สุดในรอบหลายสิบปี
รัฐบาลแถลงเมื่อกลางดึกวันอาทิตย์ว่า งุนงงกับคำพูดของเท็ด ครูซ สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐที่กำลังเยือนฮ่องกง แล้วกล่าวว่า ไม่เห็นผู้ประท้วงใช้ความรุนแรง
“แม้เราเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนักการเมืองต่างชาติ แต่เราเชื่อว่าความเห็นควรตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงด้วย ทุกคนก็เห็นจากรายงานข่าวของสื่อว่า ไม่กี่เดือนหลังผู้ประท้วงเลือดร้อนใช้ความรุนแรงและสร้างความเสียหายขึ้นหลายครั้งในฮ่องกง”
ทั้งนี้ ส.ว.ครูซกล่าวเมื่อวันเสาร์ (12 ต.ค.) ว่า หล่ำยกเลิกนัดกับเขา โดยไม่ได้ให้เหตุผล แต่ระบุว่า สำนักงานของหลำขอมาว่า การพบกันเป็นเรื่องลับ ด้านรัฐบาลฮ่องกงชี้แจงว่า ยกเลิกนัดเพราะหล่ำติดภารกิจอื่น
การชุมนุมในฮ่องกงเมื่อเย็นวาน ต้องการเรียกร้องให้นักการเมืองสหรัฐผ่านร่างกฎหมาย “สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง” ที่กำหนดให้สหรัฐทบทวนสิทธิพิเศษทางการค้าของฮ่องกงเป็นประจำทุกปี และอาจพิจารณาคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนบางคนด้วย
จอช ฮอว์ลีย์ ส.ว.พรรครีพับลิกันจากรัฐมิสซูรี หนึ่งในผู้สนับสนุนร่างกฎหมาย ได้เยือนฮ่องกงเป็นเวลา 2 วัน และสังเกตการณ์การประท้วงในย่านมงก๊กเมื่อคืนวันอาทิตย์ จากนั้นได้พบกับโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวคนดัง
“สถานการณ์ที่นี่เร่งด่วนมาก” ส.ว.กล่าว และตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า อยากบอกอะไรกลับไปที่วอชิงตัน
“ฮ่องกงเสี่ยงมากที่จะกลายเป็นรัฐตำรวจ รัฐบาลตัวแทนในฮ่องกงก็เสี่ยง ตัวแบบหนึ่งประเทศสองระบบก็เสี่ยง”
ความเห็นของฮอว์ลีย์เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งเสียงเตือนอย่างเด็ดขาดที่สุดนับแต่เริ่มประท้วง
“ใครก็ตามที่พยายามแบ่งแยกดินแดนจากประเทศจีนจะต้องย่อยยับ ร่างกายและกระดูกจะถูกบดขยี้เป็นผุยผง ส่วนต่างชาติที่พยายามสนับสนุนให้เกิดการแยกประเทศ เป็นได้แค่พวกหลงผิดในสายตาชาวจีนเท่านั้น”