‘เดนท์สุ’ ปลดพนักงาน 1,400 คนใน 7 ประเทศ
อุตสาหกรรมโฆษณาโลกปรับตัวครั้งใหญ่ หลังแข่งกันเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีดิสรัป ล่าสุด เอเยนซีโฆษณาชั้นนำโลกสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง “เดนท์สุ” ประกาศลดพนักงานกว่าพันคนใน 7 ประเทศ
เดนท์สุ เอเยนซีโฆษณาชั้นนำโลกสัญชาติญี่ปุ่น เตรียมลดพนักงานประมาณ 1,400 คนใน7 ประเทศ รวมถึง สหราชอาณาจักร จีน และสิงคโปร์ พร้อมทั้งหั่นคาดการณ์รายได้เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เดือนส.ค. และคาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิบริษัทจะร่วงลง 93%
เดนท์สุ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในกรุงโตเกียว ระบุว่า ในช่วงสองปีนับตั้งแต่ปี2562 เป็นต้นไปบริษัทมีค่าใช้จ่ายประมาณ 24.8 พันล้านเยน (227 ล้านดอลลาร์)แต่คาดว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะช่วยบริษัทลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อย 13.8 พันล้านเยนทั้งต้นทุนจากการดำเนินงานและต้นทุนด้านบุคลากร
การลดจำนวนพนักงานครั้งนี้ของเดนท์สุ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11% ของพนักงานทั้งหมดใน7 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานครั้งนี้
นอกจาก 3 ประเทศตามที่ระบุข้างต้นแล้ว ยังมีพนักงานในออสเตรเลีย บราซิล ฝรั่งเศส และเยอรมนี
รวมถึงอีกหนึ่งในเป้าหมายที่จะถูกลดจำนวนพนักงานคือ เดนท์สุ เอจิส เน็ตเวิร์ก หน่วยงานย่อยในสหราชอาณาจักรที่ดำเนินงานในฐานะบริษัทเอจิส กรุ๊ป ก่อนที่จะถูกเดนท์สุ ผู้นำในอุตสาหกรรมโฆษณาสัญชาติญี่ปุ่นเข้าครอบครองกิจการเมื่อปี 2556 โดยเดนท์สุ เอจิส ดูแลธุรกิจด้านการโฆษณาของกลุ่มบริษัทในต่างประเทศทั้งหมด
พร้อมกันนี้ เดนท์สุ ยังได้ปรับลดแนวโน้มรายได้ของบริษัทในปี 2562 หลังจากบริษัทมั่นใจว่าผลกำไรสุทธิจะปรับตัวร่วงลง 93% เหลือ 6.2 พันล้านเยน จากก่อนหน้านี้ที่บริษัทคาดการณ์ว่ากำไรจะอยู่ที่ 35.8 พันล้านเยน
อย่างไรก็ตาม การประกาศลดพนักงานครั้งนี้ของเดนท์สุ เกิดขึ้นหลังจากเอเยนซีโฆษณาทั่วโลกแข่งกันเข้าซื้อกิจการบริษัทโฆษณาในเอเชีย หวังชิงส่วนแบ่งในตลาดโฆษณาดิจิทัลที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วในภูมิภาคนี้
เริ่มจากเอเยนซีโฆษณาชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่นอย่างเดนท์สุ เข้าครอบครองกิจการบริษัทในอินเดีย 9 แห่งตลอดช่วง 5 ปีมานี้ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าในธุรกิจโฆษณาดิจิทัลในแดนภารต ส่วนดับบลิวพีพี เอเยนซีโฆษณารายใหญ่สุดของโลก และพับลิซิส เอเยนซีโฆษณาสัญชาติฝรั่งเศสก็เข้าซื้อบริษัทด้านโฆษณาในอินเดีย
ปัจจุบัน เดนท์สุ ซึ่งเข้าซื้อกิจการเอจิส เอเยนซีโฆษณาสัญชาติอังกฤษ เมื่อปี 2556 มีหน่วยงานย่อยในอินเดีย 25 แห่งรวมทั้งหน่วยงานที่เข้าครอบครองกิจการผ่านทางเอจิส มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,700 คน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งหมดในอินเดีย
ราจีฟ ดิงกรา ผู้ก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) วัตคอนซัลท์ ระบุว่า พอร์ตลงทุนในอินเดียของเดนท์สุ รวมถึงวัตคอนซัลท์ สตาร์ทอัพสื่อโซเชียลและดิจิทัล มีฐานดำเนินงานอยู่ในมุมไบ ที่เดนท์สุซื้อกิจการมาเมื่อปี 2558 โดยวัตคอนซัลท์ เป็นบริษัทที่มีแต่พนักงานวัยหนุ่มสาวอายุเฉลี่ย 25 ปี และคว้ารางวัลโฆษณาในเวทีระหว่างประเทศมาแล้ว บริษัทนี้จะเน้นการโฆษณาทางวิดีโอโดยใช้โนว์ฮาวของกลุ่มบริษัทเดนท์สุ
นิค วอเทอร์ส ซีอีโอเดนท์สุ เอจิส เน็ตเวิร์ก เอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่า ตลาดโฆษณาในอินเดียจะขยายตัว 10.5% ในปีนี้ เป็น 9.6 พันล้านดอลลาร์ ตามหลังก็แต่ตลาดจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เท่านั้น และในอีก5-10 ปีข้างหน้า ตลาดโฆษณาแห่งนี้จะเติบโตมากขึ้นเพราะการขยายตัวของประชากรชนชั้นกลาง
ตลาดโฆษณาในญี่ปุ่น ที่มีมูลค่าเกือบ 60,000 ล้านดอลลาร์ยังคงเป็นตลาดโฆษณาใหญ่สุดอันดับ3ของโลก แต่อัตราการเติบโตเริ่มชะลอตัวลงกว่า1% จึงเป็นเหตุผลที่เดนท์สุต้องกว้านซื้อกิจการในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
ขณะที่จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมาก หนุนให้ตลาดโฆษณาในประเทศนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายสมาร์ทโฟนในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านเครื่องเมื่อปีที่แล้วเป็นรองก็แต่จีนเท่านั้น และคาดว่าสัดส่วนโดยรวมของการใช้จ่ายด้านการโฆษณาดิจิทัลจะขยายตัวจาก4% ในปี 2551 เป็น 17% ในปีนี้ และเพิ่มเป็น 25% ในปี 2563
ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโฆษณาสัญชาติอังกฤษและอเมริกันอย่างดับบลิวพีพี และอินเตอร์พับลิกเป็นเจ้าตลาดโฆษณาในอินเดียมาช้านาน ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ ส่วนเดนท์สุ ได้ฐานลูกค้าขนาดใหญ่อย่างมารูติ ซูซูกิ อินเดีย ผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์อินเดีย และไอทีซี ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภค ด้วยการทำข้อตกลงร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างกลุ่มบริษัทที่เข้าซื้อกิจการ
ตั้งแต่ปี 2556 เดนท์สุ ซื้อกิจการรวมทั้งสิ้น 30 แห่ง รวม6 แห่งในจีน และ3 แห่งในสิงคโปร์ ผลกำไรสุทธิในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกขยายตัว 9% เมื่อปีที่แล้วเป็น 125,000 ล้านเยน(1.1 พันล้านดอลลาร์) โดยการัต บริษัทโฆษณาในเครือเดนท์สุในอังกฤษ ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการโฆษณาทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 3.9% ในปีนี้ เป็น 613.4 พันล้านดอลลาร์ โดยโฆษณาทางทีวีจะเพิ่มขึ้นแต่โฆษณาในสิ่งพิมพ์จะลดลง และในสื่อดิจิทัลจะเพิ่มขึ้น 12.6%