รู้จักทหารหญิงฮีโร่ ผู้ต่อกรทั้ง 'ไวรัสโคโรน่า-อีโบลา'
ท่ามกลางความพยายามต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งเครียด ระแวดระวัง กลับมีเรื่องราวดีๆ ที่พอจะเป็นกำลังใจแก่ผู้ประสบชะตากรรมการระบาดของไวรัสชนิดนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สถานีโทรทัศน์ซีจีทีเอ็นของจีน รายงานว่า ภาพที่ “ซ่ง ไช่ผิง” เจ้าหน้าที่ประจำมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งกองทัพประชาชนจีน(พีแอลเอ) สวมกอดบุตรชายก่อนเดินทางไปทำภารกิจควบคุมแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไลบีเรีย ทวีปแอฟริกา เมื่อปี 2557
..และภาพในอีก 6 ปีต่อมา ที่เธอสวมกอดลูกชายคนเดียวกัน เพื่อบอกลาไปต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ กลายเป็นภาพที่ถูกแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุด ด้วยความประทับใจในภาพดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อตอนถ่ายภาพแรกลูกชายของเธอเพิ่งมีอายุ 11 ขวบ ส่วนปัจจุบัน ลูกชายเธอมีอายุ 16 ปีแล้ว
ซ่ง เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่หลายพันนายที่ถูกกองทัพส่งไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่น โดยออกเดินทางตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีนที่ผ่านมา และเพื่อนร่วมงานของซ่ง เล่าว่า เธอทุ่มเทพลังกายพลังใจให้กับภารกิจที่เมืองอู่ฮั่น จนแทบไม่มีเวลานอนพัก หน้าที่หลักของเธอคือการแบ่งปันประสบการณ์ และสอนพยาบาลรุ่นใหม่ให้รู้จักเทคนิคทางการแพทย์และให้กำลังใจพวกเธอด้วย
ขณะที่ ซ่ง กล่าวว่า จุดที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้คือโรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่น เป็นสมรภูมิรบ ตราบใดที่ทุกคนกล้าหาญ ระมัดระวังตัว และมีไหวพริบ ก็จะร่วมมือกันเอาชนะเชื้อไวรัสโคโรน่าได้แน่นอน
เรื่องราวของซ่ง เป็นเรื่องราวดีๆที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ทุกคนที่เผชิญความยากลำบากในช่วงไวรัสโคโรน่าระบาด ซึ่งล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการวิจัยเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนเตือนว่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะสามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสฝอยละอองจากการไอและจามของผู้ติดเชื้อแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารได้ด้วย
ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการวิจัยเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนเตือนว่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะสามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสฝอยละอองจากการไอและจามของผู้ติดเชื้อแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารได้ด้วย
นักวิจัย ระบุว่า มีการตรวจพบกรดนิวคลีอิกของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในอุจจาระของผู้ติดเชื้อ หลังพบว่าผู้ติดเชื้อบางรายมีอาการท้องร่วง แทนอาการมีไข้ตามที่พบเห็นในกรณีส่วนใหญ่
การค้นพบล่าสุดนี้ เป็นผลงานจากการวิจัยร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเหรินหมินแห่งมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น และสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นในสังกัดสถาบันวิทยาศาสตร์ของจีน
ข้อค้นพบดังกล่าว ทำให้ทีมนักวิจัยเชื่อว่า โวรัสโคโรน่าสามารถติดต่อผ่านการรับเชื้อที่ปนเปื้อนมาจากอุจจาระของผู้ป่วยได้อีกทางหนึ่ง นอกจากการสัมผัสผ่านละอองฝอยจากการไอและจามของผู้ติดเชื้อ