บ.จีนเตรียมแผนสำรองหลังสหรัฐคุมเข้มตลาดหุ้น

บ.จีนเตรียมแผนสำรองหลังสหรัฐคุมเข้มตลาดหุ้น

บ.จีนเตรียมแผนสำรองหลังสหรัฐคุมเข้มตลาดหุ้น หนึ่งในทางออกที่เหมาะสมที่สุดคือการหวนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดสองหรือไม่ก็ถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

ความกลัวว่าจะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำให้บริษัทจีนเริ่มเตรียมแผนสำรอง เช่นไปตู้ กำลังชั่งน้ำหนักว่าจะถอนตัวออกจากตลาดหุ้นแนสแด็ก ขณะที่เน็ทอีสต์ ยื่นใบสมัครขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

การเตรียมแผนสำรองของบรรดาบริษัทจีนมีขึ้นหลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านร่างกฎมาย ซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ ร่างกฎหมายนี้ยังอาจจะทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ

“จอห์น เคนเนดี้” วุฒิสมาชิกรัฐหลุยส์เซียนาจากพรรครีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมาย “Holding Foreign Companies Accountable Act” ให้วุฒิสภาพิจารณาโดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น โดยไม่มีผู้คัดค้าน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนจาก“คริส แวน โฮลเลน” วุฒิสมาชิกรัฐแมรีแลนด์จากพรรคเดโมแครต และ“เควิน เครเมอร์” วุฒิสมาชิกจากรัฐนอร์ธดาโกตาจากพรรครีพับลิกัน

ร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดว่า บริษัทสัญชาติจีนที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น จะต้องไม่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลต่างชาติ นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติจีนจะต้องยื่นรายงานด้านการเงินเพื่อให้คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ทำการตรวจสอบบัญชี โดยคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของบริษัทสหรัฐทุกแห่งที่ต้องการเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ วุฒิสมาชิกแคนเนดี้กล่าวว่า “ผมไม่ต้องการทำสงครามเย็นรอบใหม่ สิ่งที่ผมต้องการและเชื่อว่าเราทุกคนต้องการก็คือ จีนจะต้องเล่นตามกติกา”

ร่างกฎหมาย Holding Foreign Companies Accountable Act จะถูกส่งให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพิจารณาเป็นลำดับต่อไป ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย

ด้านคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการทบทวนเศรษฐกิจและหลักทรัพย์สหรัฐ-จีน เปิดเผยว่า มีบริษัทสัญชาติจีนจำนวน 165 แห่งที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งรวมถึง อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ไป่ตู้ อิงค์ และเจดีดอทคอม ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะถูกถอดออกจากการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ

เน็ตอีสต์ บริษัทพัฒนาเกม เป็นผู้นำกลุ่มบริษัทจีนยื่นเอกสารขอทำไอพีโอที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงซึ่งอาจจะเป็นช่วงต้นเดือนมิ.ย.และคาดว่าจะระดมทุนได้ประมาณ 2,000ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทเน็ตอีสต์ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในกวางโจว เข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กเมื่อปี 2543

ส่วนไป่ตู้ ยักษ์ใหญ่ด้านการสืบค้นข้อมูลของจีนนั้นแหล่งข่าววงในระบุว่าบริษัทไป่ตู้ ซึ่งทำไอพีโอที่ตลาดหุ้นแนสแด็กเมื่อปี 2548 พยายามหาวิธีการต่างๆที่จะถอนตัวจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขณะที่ทริปดอทคอม กรุ๊ป แพลทฟอร์มจองตั๋วเดินทาง กำลังหารือกับธนาคารหลายแห่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นตลาดที่สอง

บริษัทสองแห่งที่ตัดสินใจหวนกลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นบ้านเกิดเมืองนอนเมื่อไม่นานมานี้เช่นตลาดหุ้นฮ่องกง ก็มีอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงส์ และเจ.ดีดอทคอม ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของจีนที่ต่างก็เข้าจดทะเบียนที่ตลาดหุ้นแนสแด็ก

ราคาหุ้นของเน็ตอีสต์ ไป่ตู้ ทริปดอทคอม อาลีบาบา และเจดีดอทคอม เปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี(21พ.ค.)ปรับตัวลง ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ อาทิ เปโตรไชนา และไชนา เปโตรเลียม แอนด์ เคมิคัล คอร์ปยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นแม้ว่าความต้องการน้ำมันในจีนฟื้นตัวแล้วก็ตาม

บริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐเผชิญหน้ากับแรงกดดันในการทำธุรกิจในสหรัฐมากขึ้นหลังจากเกิดกรณีอื้อฉาวเครือข่ายค้าปลีกกาแฟสดชื่อดังของจีนชื่อ “ลัคกินคอฟฟี” ที่ถือเป็นคู่แข่งรายใหญ่สุดของสตาร์บัคส์ แถลงขอโทษหลังเผยว่า ผู้บริหารสูงสุดอาจโกงยอดขายปี 2562 เป็นเงิน 310 ล้านดอลลาร์

ลัคกินคอฟฟี ได้ทำหนังสือแจ้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐว่า “หลิวเจี้ยน” อดีตประธานคณะเจ้าหน้าที่การเงินและเจ้าหน้าที่ของเขาหลายคนถูกพักงาน ระหว่างบริษัทเปิดสอบภายในเรื่องการตกแต่งยอดขายตั้งแต่ไตรมาส 2-4 ของปี 2562 คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ประมาณการปี 2562 ที่ 732 ล้านดอลลาร์

ล่าสุด ลัคกินคอฟฟี แถลงผ่านเว่ยป๋อว่า “บริษัทขอสงวนสิทธิดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้อง จะไม่มีการปกป้องหรือผ่อนปรนให้” พร้อมเสริมว่า ร้านลัคกินคอฟฟียังคงเปิดให้บริการตามปกติ และทราบดีว่า บริษัทอยู่ได้ก็ด้วยการสนับสนุนของลูกค้า

คู่แข่งสตาร์บัคส์รายนี้ เปิดตัวเมื่อปี 2560 ต่อมาจดทะเบียนอย่างสวยงามในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อเดือน พ.ค.ปี62 ทำไอพีโอระดมทุนได้ 561 ล้านดอลลาร์ ซืื้อขายช่วงแรกราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 50%

ลัคกินคอฟฟี ตั้งเป้าโค่นบัลลังก์สตาร์บัคส์ในจีนลงให้ได้ ด้วยการใช้กลยุทธ์เติบโตเชิงรุก จูงใจลูกค้าด้วยการทำยอดผ่านแอพพลิเคชัน เน้นการซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี พร้อมให้คูปองส่วนลดมากมาย พอสิ้นปี 62 สตาร์ทอัพกาแฟ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเซียะเหมินรายนี้ มี 4,500 สาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ แซงหน้าสตาร์บัคส์ที่มี 4,300 สาขา และนักลงทุนคุยโวว่าบริษัทนี้มีโอกาสไปไกลทั่วโลก แต่เมื่อข่าวตกแต่งยอดขายเผยออกมาราคาหุ้นบริษัทในตลาดแนสแด็กก็ร่วงลงกว่า 70%

ก่อนหน้านี้บริษัทลงทุนมัดดี วอเตอร์ส รีเสิร์ช ตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องของธุรกรรมทางการเงินไตรมาส 3 ของลัคกินคอฟฟี