"สหรัฐ" ยัน พร้อมรับมือวิกฤติ "เอเวอร์แกรนด์"
ทำเนียบขาว ยืนยัน รัฐบาลสหรัฐกำลังจับตาวิกฤตการณ์ทางการเงินของ "เอเวอร์แกรนด์" อย่างใกล้ชิด และพร้อมรับมือผลกระทบดังกล่าว
ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ยืนยันเมื่อวันจันทร์ (20 ก.ย.) ว่า สหรัฐกำลังจับตาวิกฤตการณ์ทางการเงินของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป อย่างใกล้ชิด และพร้อมรับมือผลกระทบดังกล่าว หากมีความจำเป็น
"ดิฉันขอตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับจีน ขณะที่เราจับตาตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ผ่านทางกระทรวงการคลังสหรัฐ
โดยมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเราพร้อมรับมือ หากมีความจำเป็น" นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวกล่าว
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันจันทร์(20ก.ย.) ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 600 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2563 ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
นายแลร์รี เบรนนาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
เอเวอร์แกรนด์ ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ขณะที่บริษัทมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนนี้ โดยมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 23 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุเดือนมี.ค.2565 และมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 29 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่ครบอายุเดือนมี.ค.2567
หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ
ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารเชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) ณ สิ้นปี 2563
มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน