ดาวโจนส์ร่วงในกรอบแคบ-ตลาดปรับฐานหลังพุ่งขึ้น3วันติดต่อกัน
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(9ธ.ค.)ปรับตัวลงในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดปรับฐานหลังจากพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วัน หลังสหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 0.06 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 35,754.69 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 33.76 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 4,667.45 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 269.62 จุด หรือ 1.71% ปิดที่ 15,517.37 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ถูกกดดันน้อยลงหลังสหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 184,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 211,000 ราย
ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19
"มาร์ก เซบาสเตียน"มองว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะดีดตัวขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขา" นายจิม เครเมอร์ พิธีกรรายการ "Mad Money" ของสถานีข่าว ซีเอ็นบีซี กล่าว
ทั้งนี้ นายเซบาสเตียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ OptionPit.com มีความพอใจต่อการปรับตัวของดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนีดังกล่าวดิ่งลงอย่างรวดเร็ว หลังจากพุ่งขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค.
"ดัชนี VIX บ่งชี้ว่าขณะนี้ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่เริ่มกลับมาแล้ว หลังจากตลาดเกิดความผันผวนมาระยะหนึ่ง" นายเครเมอร์กล่าว
นายเครเมอร์ กล่าวว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นก่อนหน้านี้ ไม่ได้สร้างความประหลาดใจต่อนายเซบาสเตียน เนื่องจากเขาเคยเตือนเกี่ยวกับการที่ดัชนี VIX ได้เริ่มปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนต.ค.ควบคู่กับการดีดตัวขึ้นของดัชนี เอสแอนด์พี 500 ในช่วงเดือนพ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญแรงเทขายในไม่ช้า
"ตราบใดที่ดัชนี VIX ยังคงร่วงลงต่อไป คุณเซบาสเตียนก็มองว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงซานต้า แรลลี่ที่ผมมักพูดถึง โดยปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นในปลายเดือนนี้ และจะส่งให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 พุ่งแตะ 5,000 จุด จาก 4,700 จุดในขณะนี้" นายเครเมอร์กล่าว
ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471
ด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี
ข้อมูลระบุว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว
ด้านนายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5,050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี
"เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19" นายโคลาโนวิช กล่าว
นอกจากนี้ นายโคลาโนวิช ยังกล่าวว่า นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นในการดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในรอบนี้
"ตลาดตื่นตระหนกจนเกินเหตุเมื่อได้ทรุดตัวลงในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลังมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยนักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจากข่าวซึ่งเชื่อถือไม่ได้ และขณะนี้ตลาดก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว" นายโคลาโนวิช กล่าว
นายโคลาโนวิช ออกรายงานระบุว่า ภาวะตลาดที่ปั่นป่วนในขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดประเทศและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
"แม้ว่าโอมิครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว" รายงานระบุ