ดาวโจนส์ร่วง 90 จุดท่ามกลางการซื้อขายเบาบาง
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(30ธ.ค.)ปรับตัวลง 90 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานใกล้ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 90.55 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 36,398.08 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 14.33 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 4,778.73 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวลง 24.65 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 15,741.56 จุด
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสำราญ ต่างดีดตัวขึ้นในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของบริษัทเทสลา อิงค์ร่วงลงกว่า 1% สวนทางตลาดวันนี้ หลังจากที่บริษัทประกาศเรียกคืนรถยนต์เกือบ 500,000 คัน
สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอชทีเอสเอ) เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทเทสลา อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ได้เรียกคืนรถยนต์จำนวนเกือบ 500,000 คัน เนื่องจากมีปัญหาซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่
ทั้งนี้ เทสลาประกาศเรียกคืนรถยนต์รุ่น Model 3 จำนวน 356,309 คัน ซึ่งมีการผลิตในปี 2017-2020 เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับกล้องมองหลัง ซึ่งเอ็นเอชทีเอสเอ ระบุว่า อาจทำให้ไม่แสดงภาพด้านหลังรถยนต์ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการเฉี่ยวชน
นอกจากนี้ เทสลาเรียกคืนรถยนต์รุ่น Model S จำนวน 119,109 คัน โดยมีปัญหาเกี่ยวกับฝากระโปรงหน้า ซึ่งอาจเปิดขึ้นมาได้ระหว่างการขับ ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการที่ผู้ขับขี่ถูกบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 198,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ใกล้ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2512 ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ระดับ 182,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 205,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลงสู่ระดับ 199,250 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2512
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 140,000 ราย สู่ระดับ 1.72 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเดือนมี.ค.2563
นักวิเคราะห์ต่างเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะยังคงดีดตัวขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่"
"ซานต้าดีต่อนักลงทุนในปีนี้มาก และเราหวังว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีหน้าเช่นกัน" นายสก็อต เรน นักวิเคราะห์ของเวลส์ ฟาร์โก กล่าว
ด้านนายอนู แกกการ์ นักวิเคราะห์จากคอมมอนเวลท์ ไฟแนนเชียล เน็ตเวิร์ค กล่าวว่า "ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของเฟด ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่วนความคืบหน้าทางการแพทย์ก็ได้ช่วยหนุนการขยายตัว ทำให้ตลาดดีไปหมดในทุกๆด้าน"
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 19.2% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ทะยานขึ้น 27.6% และดัชนีแนสแด็กดีดตัวขึ้น 22.3%
ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471