ดาวโจนส์ร่วง 39 จุดเหตุสงครามยูเครนไร้ทางจบขณะนักลงทุนจับตาผลประกอบการ

ดาวโจนส์ร่วง 39 จุดเหตุสงครามยูเครนไร้ทางจบขณะนักลงทุนจับตาผลประกอบการ

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(18เม.ย.)ปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 39 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 39.54 จุด  หรือ 0.11% ปิดที่ 34,411.69 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 0.90 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 4,391.69 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 18.72 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 13,332.36 จุด

ราคาหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังเปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก

ขณะนี้ บริษัทราว 7.5% ในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกแล้ว ซึ่งมากกว่า 80% ในจำนวนดังกล่าวมีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกัน นายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลก ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 3.2% จากเดิมที่ระดับ 4.1% โดยได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน

นายมัลพาสส์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้คือการหดตัวถึง 4.1% ของเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียกลาง ซึ่งประกอบด้วยยูเครน รัสเซีย และประเทศใกล้เคียง

ด้านพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

นอกจากนี้ สหรัฐยังเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 8.5% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524

ขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543

นักลงทุนจับตารายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟดที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด