“เงินเฟ้อ” ฉุดตลาดรถยนต์ทั่วโลก ยอดส่งออกส่งสัญญาณหดตัว
ส.อ.ท.เตรียมปรับเป้ายอดผลิตรถปีนี้ จาก 1.8 ล้านคัน เหลือ 1.7 ล้านคัน ชี้สงครามยูเครนรวมทั้งการล็อกดาวน์จีน ซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนชิพ ผู้ผลิตรถยนต์กังวลปัจจัยเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อในครึ่งปีหลัง เผย มิ.ย.ยอดส่งออกลดลง 11% ยอดขายในประเทศโต 20.69%
การผลิตรถยนต์ทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิพ โดยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้สร้างทำให้ปัญหาขาดแคลนชิพยืดเยื้อ และขณะนี้ตลาดรถยนต์กำลังได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ประทบกำลังซื้อขงผู้บริโภค
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. คาดว่าจะมีการประชุมร่วมกันในช่วงปลายเดือน ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาปรับเป้าคาดการณ์ยอดการผลิตรถยนต์ทั้งปี 2565 ซึ่งเดิมอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และจำหน่ายในประเทศ 800,000 คัน เนื่องจากทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้นในปี 2564 อย่างไรก็ตาม การเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนในช่วงต้นปีและการล็อกดาวน์จีนซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ)
รวมทั้งผู้ประกอบการยังมีความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ซึ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.คาดว่าจะปรับเป้าการผลิตลงอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน
“ปัจจัยเรื่องสงครามเกิดขึ้นหลังจากที่ ส.อ.ท. ได้วางเป้าหมายการผลิตเอาไว้ ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากสงครามดังกล่าวเนื่องจากประเทศยูเครนมีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานในการผลิตชิพเนื่องจากเป็นผู้ส่งออกหลักของก๊าซนีออน กว่า 70% ทั่วโลก ซึ่งใช้ในการแกะแบบแผงวงจรให้เป็นแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ (silicon wafer) เพื่อใช้ในการผลิตชิพ ซึ่งความขาดแคลนก๊าซดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตชิพสูงขึ้น” นายสุรพงษ์ กล่าว
ส่งออก มิ.ย.ติดลบ11%
ทั้งนี้ ยอดส่งออกรถยนต์ เดือน มิ.ย.2565 อยู่ที่ 73,887 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้า 11% เนื่องจากขาดชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ทำให้ส่งออกลดลงในหลายตลาด ได้แก่ เอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยมีเพียงยอดผลิตรถกระบะซึ่งไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกกว่า 130 ประเทศ ที่มียอดส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 50,154 คัน เพิ่มขึ้น3.49% รวมมูลค่าการส่งออก 42,781.17 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 13.18% สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์ครึ่งแรกปี2565 (ม.ค.-มิ.ย.) อยู่ที่ 449,644 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.04% และมีมูลค่าส่งออกที่ 266,654.08 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1.5%
“สงครามยูเครนที่ยังยืดเยื้อและการล็อกดาวน์เมืองสำคัญในจีนซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนชิพ ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ในหลายประเทศในเดือน มิ.ย. ลดลง ซึ่งสัญญาณดังกล่าวยังไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยทั้งหมด ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องภาะวะเงินเฟ้อในไตรมาส 3 และ 4” นายสุรพงษ์กล่าว
ยอดผลิตครึ่งปีโตแค่3%
สำหรับยอดการผลิตรถยนต์ในเดือน มิ.ย.2565 อยู่ที่ 143,016 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.53% โดยเพิ่มขึ้นจากการผลิตเพื่อขายในประเทศ 20.69% คิดเป็นสัดส่วน 50.35% โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ม.ค.-มิ.ย.2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 870,109 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 3.02%
ในขณะที่ ยอดขายรถยนต์ในประเทศในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 67,952 คัน ขยายตัวขึ้นจากเดือนก่อน 5.97% และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 4.6% เนื่องจากการคลายล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นและการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้สะดวกขึ้น การส่งออกที่เติบโตโดยเฉพาะสินค้าเกษตร การประกันรายได้เกษตรกร การกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเราเที่ยวด้วยกันเป็นต้น ทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ความเเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น
“ค่ายรถยนต์บางเจ้าตัดสินใจส่งมอบรถบางรุ่นให้ผู้บริโภคก่อน โดยที่ยังติดตั้งชิ้นส่วนไม่ครบซึ่งชิ้นส่วนดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เมื่อบริษัทได้รับชิ้นส่วนแล้วสามารถเข้ามาติดตั้งในภายหลังได้” นายสุรพงษ์ กล่าว
ยอดจดทะเบียนอีวีพุ่งต่อเนื่อง
สำหรับสถิติรถยนต์ไฟฟ้า ประเภท BEV จดทะเบียนใหม่ เดือน มิ.ย. พุ่งไปที่ 877 คัน เพิ่มขึ้น 431.52% จากปีก่อนหน้า รวมรถอีวีจดทะเบียนใหม่สะสม 6 เดือนแรก อยู่ที่ 3,041 คัน เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อน 234.91% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่รัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นดีมานต์อุดหนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)
รวมไปถึงกลุ่มรถอีวีราคาสูงที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการรัฐก็มียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าจะมีการสนับสนุนรถอีวีที่ชัดเจน นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ช่วงต้นปีมีส่วนสนับสนุนให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถอีวี โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 มีรถ BEV สะสมในไทย 6,994 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน135.81%
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า ประเภท HEV มียอดจดทะเบียนใหม่เดือน มิ.ย.อยู่ที่ 5,581 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 103.91% รวมรถประเภท HEV สะสม 6 เดือนแรก 32,527 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 61.58% และรถยนต์ไฟฟ้า ประเภท PHEV มียอดจดทะเบียนใหม่ เดือน มิ.ย.อยู่ที่ 1,085 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 59.56% รวมรถประเภท PHEV สะสม6 เดือนแรก 5,947 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 55.88%
โดยสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ณ 30 มิ.ย. 2565 รวมทั้งสิ้น 284,613 คัน แบ่งออกเป็น ประเภท BEV จำนวน 18,644 คัน คิดเป็น 6.55% ประเภท HEV จำนวน 228,894 คัน คิดเป็น 80.42% และประเภท PHEV จำนวน37,075 คัน คิดเป็น 13.03%