ดูคาติ เล็งลุยมือสอง เพิ่มความร่วมมือ อาวดี้ เตรียมส่ง MOTO E โชว์โฉมเมืองไทย
ดูคาติ พร้อมเปิดเกมรุก ดันยอดขายเติบโตก้าวกระโดด หลังทำตลาดครบ 1 ปี เดินหน้าเพิ่มความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ขยายเครือข่าย คาด 3 ปี ยอดกระโดดเฉียด 6 พันคัน
บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด หรือ ดูคาติ ประเทศไทย เข้ามาเป็นผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ดูคาติ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2564 โดยได้ดำเนินการสร้างการรับรู้ ผลักดันตลาดหลายอย่าง ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การตลาด และประชาสัมพันธ์ โดยล่าสุด ดูคาติ ประเทศไทย บอกว่าพร้อมแล้วที่จะเดินตลาดเชิงรุก
กฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย ดูคาติ บริษัทได้ดำเนินการเชิงรุกหลายอย่าง ทั้งการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ซึ่งปัจจุบัน มีรถทำตลาดรวม 34 รุ่นย่อย ในระดับราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ 3.49 แสนบาท ถึง 1.66 ล้านบาท
โดยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รุ่นที่ได้รับความสนใจและมียอดจำหน่ายมากที่สุด 3 รุ่น ได้แก่ Monster 29% รถในตระกูล Scrambler 22% Panigale V4 17% และรุ่นอื่นๆ รวมอีก 39%
นอกจากนี้ยังขยายเครือข่ายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากที่สุด ส่วนการบริการหลังการขาย เปิดคลังอะไหล่ พร้อมการสต็อกอะไหล่มูลค่า 20 ล้านบาท พร้อมเพิ่มการรับประกันรถใหม่จาก 2 ปี เป็น 3 ปี และยังปรับลดราคาอะไหล่ และค่าแรง ลงเฉลี่ย 15-20% เปิดบริการช่วยแหลือฉุกเฉิน หรือ โรดไซด์ เซอร์วิส ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้โบริโภค โดยในช่วง 1 ปี ของการทำตลาด มียอดขายรวมประมาณ 500 คัน
ส่วนปีนี้แม้ว่า ตลาดจะทรงตัว จากปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะภาคการผลิตจากการขาดแคลนชิ้นส่วน โดยเฉพาะเซมิคอนดัคเตอร์ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ล่าสุดสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และบริษัทแม่ยืนยันว่าไตรมาสที่ 4 จะกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้เต็มที่
มล.กมลชาติ ประวิตร ประธานเข้าหน้าที่ บริหาร กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะใช้กลยุทธ์เชิงรุก ทั้งด้านสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะมีอีกอย่างน้อย 2 รุ่น
ขณะที่เครือข่ายการจำหน่ายและบริการ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย สาขาสุวรรณภูมิ ราชพฤกษ์ ประดิษฐ์มนูธรรม และต่างจังหวัดที่ขอนแก่น ลพบุรี พิษณุโลก และภูเก็ต และวางแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ภายในปี 2566 ที่ภาคกลาง และตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตลาดเติบโต
ในด้านการตลาด จะเน้นทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ การใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น หลากหลายเส้นทาง เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
“เราจะมีกิจกรรมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านออนไลน์ หรือกิจกรรมการขับขี่ ทั้งในสนามและนอกสนาม โดยมุ่งเน้นถึงประสบการณ์การขับขี่ที่ลูกค้าจะได้รับ และขยายการสร้างความสัมพันธ์”
นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มความร่วมมือกับ รถยนต์ อาวดี้ ซึ่งอยู่ภายใต้เครือโฟล์คสวาเก้น กรุ๊ป ด้วยกัน ให้หลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันมีความร่วมมือกันคือ การใช้โชว์รูมร่วมกันบางแห่ง
ทั้งนี้มองว่าทั้งดูคาติ และ อาวดี้ เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีจุดขายที่โดดเด่น หากสามารถทำกิจกรรมร่วมกันในอนาคต จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้น และขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น
“ปัจจุบันพบว่า ลูกค้าดูคาติกับอาวดี้ มีบางส่วนที่เป็นลูกค้ากลุ่มเดียวกัน แต่ยังมีจำนวนไม่มานัก แต่ก็เห็นช่องทางที่จะขยายฐานลูกค้าจากแบรนด์หนึ่งไปอีกแบรนด์หนึ่งได้ในอนาคต”
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดตลาดรถจักรยานยนต์มือสอง หรือ Ducati Approved Used Bike ในอนาคต เพื่อรองรับตลาดมือสอง ยกระดับและยอดขายตลาดมือหนึ่งในอนาคต อีกด้วย
แนวทางการดำเนินการต่างๆ ทำให้มั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตให้กับดูคาติอย่างชัดเจน โดยปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบหลายอย่าง โดยเฉพาะการขาดแคลนชิ้นส่วนแต่ก็คาดว่าจะมียอดขาย 600 คัน ปี 2566 เพิ่มเป็น 1,200 คัน ปี 2567 เติบโต 51% และปี 2568-2569 เติบโตปีละ 10% หรือมียอดขายประมาณ 5,859 คัน ในปี 2569
กฤษณะกรกล่าวว่า ส่วนการเข้าสู่พลังงานใหม่ๆ อย่าง พลังงานไฟฟ้า ดูคาติ ประเทศไทย ก็มีความสนใจ และแจ้งความต้องการให้กับบริษัทแม่รับรู้แล้ว ดังนั้นหากมีผลิตภัณฑ์ด้านนี้เปิดตัว ก็พร้อมที่จะทำตลาดในไทยทันที
ทั้งนี้ปัจจุบัน ดูคาติ ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ อีวี ออกจำหน่าย แต่อยู่ในแผนงาน โดยขณะนี้ได้พัฒนา MotoE (โมโต อีX รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันแรก ที่เกิดจากการร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างแผนก R&D ของ Ducati และ Ducati Corse คาดแล้วเสร็จปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ ดูคาติ รับหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์แต่เพียงผู้เดียวของ FIM MotoE™ World Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันที่มีเพียงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น
โมโต อี เป็นรถจักรยานยนต์ อีวี ที่มีน้ำหนักเบา 225 กก. ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 275 กม./ชม. โดยบริษัทกำลังดำเนินการขอบริษัทแม่นำเข้ามาจัดแสดงในประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้กับลูกค้า ก่อนเปิดตลาดอีวี ในอนาคต