“MG4” พร้อมจอง 15 พฤศจิกายน เจาะตลาด ซี-เซ็กเมนต์ อีวี ขับเคลื่อนล้อหลัง
บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดรับจอง อีวี รุ่นที่ 3 ในประเทศไทย “MG4” วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป หรือ มหกรรมยานยนต์
โดยการเปิดจอง MG4 เป็นการจองผ่านทางช่องทางออนไลน์ ทั้งทาง MG THAILAND application และ เว็บไซต์ https://www.mgcars.com
ทั้งนี้การรับจองเป็นการจองสิทธิ์โดยผู้จองยังไม่รู้ราคาราคาจำหน่ายแต่อย่างใด โดยราคาที่แท้จริง จะประกาศในงานมหกรรมยานยนต์
สำหรับ MG4 เป็นผลผลิตล่าสุดของ SAIC ประเทศจีน โดยเปิดตัวในจีนเป็นแห่งแรกในชื่อ เอ็มจี มู่หลาน (MG MULAN) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนในตลาดอื่นๆ จะใช้ชื่อ “MG4" โดยที่ SAIC กำหนดเป้าหมายให้เป็นอีวีสำหรับตลาดโลก หรือ Global EV
โดยหลังจากเปิดตัวในจีนแล้ว MG4 เปิดตัวต่อเนื่องที่ อังกฤษในเดือนกันยนยน และหลังจากนี้จะทยอยเปิดตัวในยุโรป ทั้งเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก
จากนั้นจะเปิดตัวใน 6 ทวีปทั่วโลก เริ่มจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้
MG4 เป็นอีวีโมเดลแรกที่พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม SAIC NEBULA TECHNOLOGY ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ สามารถปรับใช้ได้กับอีวีหลายเซ็กเมนต์ ตั้งแต่รถขนาดเล็กไปจนถึงรถขนาดใหญ่ และรองรับแบตเตอรี่ได้หลากหลายความจุที่เหมาะสมกับแต่ละตลาด
เป็นรถในกลุ่ม C-Segment Hatchback 5 ประตู ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งจะแตกต่างจาก อีวี ส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนล้อหน้า และจุดเด่นอย่างหนึ่งคือการออกแบบให้กระจายน้ำหนัก หน้า:หลัง แบบสมมาตร 50:50 รวมถึงมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งทำให้เป็นรถที่มีความคล่องตัวในการขับขี่
ทั้งนี้ เอ็มจี ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสเปคที่จะทำตลาดในไทย แต่สำหรับรถที่เปิดตัวในต่างประเทศ มี 2 รุ่นให้เลือก คือ Standard Range และ Long Range โดยจุดที่แตกต่างกันชัดเจนคือ ขนาดแบตเตอรี และระยะทางในการใช้งานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง โดยเริ่มต้นที่ 350 กม. สำหรับค่าเฉลี่ย และ 490 กม. สำหรับการขับขี่ในเมือง ในรุ่น Standard Range และ 452 กม. กับ 579 กม. ใน Long Range
ซึ่งสเปคของ Long Range ถือว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะกับตลาดประเทศไทย ที่ความพร้อมของจุดชาร์จสาธารณะยังมีไม่แพร่หลายเพียงพอ ดังนั้นระยะทางการใช้งานดังกล่าว จะทำให้เจ้าของรถมีความกล้า ความมั่นใจในการใช้งานรถมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูว่า เอ็มจีจะสามารถทำราคาได้ดีขนาดไหน และหากรถรุ่นนี้ มีแผนที่จะผลิตในไทยภายในปี 2567-2568 ก็จะได้สิทพิเศษจากมาตรการส่งเสริมการใช้งานอีวีระยะเร่งด่วนของภาครัฐ เหมือนกับ เอ็มจี แซดเอส อีวี หรือ เอ็มจี อีพี นั่นคือ การลดภาษีสรรพสามิตจจาก 8% เหลือ 2% และเงินสนับสนุนผู้ซื้อคันละ 1.5 แสนบาท
ซึ่งก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้เข้ามาหาก เอ็มจี4 คันนี้