“เบนซ์ จีแอลเอส 350 ดี” ใหญ่ แต่คล่อง แรงเหลือเฟือ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ “จีแอลเอส 350 ดี 4 เมติก เอเอ็มจี พรีเมียม” เป็นรถ ฟูลไซส์ เอสยูวี 7 ที่นั่ง ที่น่าสนใจสำหรับที่ต้องการใช้งานสำหรับครอบครัวเอาไว้ใช้เดินทางร่วมกัน หรือไปท่องเที่ยวด้วยกันในวันว่างๆ
มันเป็นรถฟูลไซส์ เอสยูวี ที่มีค่าตัว 8,859,000 บาท ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย แม้ว่าคงจะไม่เหมาะกับการใช้งานออฟโรดหนักๆ แต่เป็นรถเอนกประสงค์ที่เดินทางไปไหนมาไหนได้มากกว่า ทั้งเส้นทางบนถนนและนอกถนน
แต่เสียดายว่าเอสยูวีหรูคันนี้มาอยู่กับผมในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะกับการเดินทางไปหาประสบการณ์กับรถได้เต็มที่นัก จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทุกคนต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตและให้ความร่วมมือกับภาครัฐให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นแผนการเดิมที่จะพามันตะลุยออกไปต่างจังหวัด ค้างสัก 1 คืน ก็เลยต้องเปลี่ยนไป แต่ไม่เป็นไรครับ เอาไว้มีโอกาสดีๆ คงได้ลองใช้งานเต็มรูปแบบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเส้นทาง หรือว่าการลองบรรทุกผู้โดยสารเต็มที่ ให้สมกับรถ “ฟูล ไซส์ เอสยูวี” 7 ที่นั่ง คันนี้สักหน่อย
แต่ก็ดีไปอีกแบบ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน 6 วัน ผมใช้งาน จีแอลเอส ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ระยะทางอาจจะไม่เยอะนัก แต่ก็ได้คำตอบว่า เผื่อมีใครอยากถามว่ารถที่ยาวกว่า 5 เมตรคันนี้ มันเหมาะกับชีวิตในเมืองมากน้อยแค่ไหน และข้อจำกัดก็เลยทำให้ต้องใช้ภาพประกอบที่ไม่ได้ทีมงานถ่ายไว้ก่อนหน้านี้มาใช้ครับ
ครับ จีแอลเอส มีความยาวตัวถัง 5,207 มม. กว้าง 1,956 มม. สูง 1,823 มม. ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งตรงๆ ของมันอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์7 แล้ว มันยาวกว่า สูงกว่า แต่แคบกว่าเล็กน้อย โดยเอ็กซ์7 นั้นยาว 5,151 มม. กว้าง 2,000 มม. และสูง 1,805 มม.
ภายออกใหญ่อย่างนี้ มาดูกันว่าภายในเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งห้องโดยสารของ จีแอลเอส กว้างขวาง และนั่งได้ 7 คน การเข้าออกเบาะนั่งแถว 3 ใช้วิธีเลื่อนเบาะแถว 2 ไปข้างหน้า พร้อมยกตัวขึ้นเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ควบคุมด้วยไฟฟ้า ทั้งที่ตัวเบาะแถว 2 เอง หรือปุ่มควบคุมที่อยู่ด้านข้างตัวถังสำหรับคนนั่งแถว 3 ควบคุมเอง และเบาะแถว 2 ก็สามารถพับลงไป เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ แต่ไม่ถึงกับแบนราบเสียทีเดียว แต่ก็เกือบ ขณะที่เบาะแถว 3 สามารถพับได้ราบ ควบคุมด้วยไฟฟ้า ซึ่งสามารถสั่งการจากสวิทช์ที่อยู่ในพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ นั่นหมายถึงเมื่อจะเก็บของก็แค่เปิดฝาท้ายซึ่งควบคุมด้วยไฟฟ้าเช่นกัน และสามารถเปิดได้โดยไม่ต้องสัมผัส แค่ใช้เท้าแหย่ไปใต้รถเท่านั้น เมื่อเปิดแล้วเห็นว่าพื้นที่วางของไม่พอ ก็ไม่ต้องเดินมาปรับด้านหน้า สามารถปรับจากด้านท้ายได้เลย
ส่วนประตูทั้ง 4 บาน ก็เป็นแบบ ซอฟท์ โคลส ปิดนุ่มๆ ใครดันประตูเข้าไปเบาๆ จากนั้นระบบจะดูดเข้าไปให้แน่นเอง
ภายในห้องโดยสาร หรูหรา อลังการ ไม่ต่างจากรถธงอย่าง เอส-คลาส เพิ่มความล้ำสมัยด้วย หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งจอเดียวไม่พอ แต่ต่อเนื่อง 2 จอ สามารถเปลี่ยนรูปแบบแสดงผลเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการขับขี่ตามที่เราต้องการ ส่วนการเลือกหรือควบคุมระบบต่างๆ ทำได้จากหลายส่วน ทั้งที่จอสัมผัสโดยตรง หรือที่ทัชแพดตรงบริเวณคอนโซลกลาง หรือทัชแพดขนาดเล็กบนพวงมาลัย 2 ตำแหน่ง สำหรับมือซ้ายและมือขวา ด้านขวาก็ควบคุมสั่งการจอแสดงผลต่างๆ หลังพวงมาลัย ด้านมือซ้าย ก็ควบคุมจอแสดงผลตรงกลาง
ผมชอบใช้ 2 อันนี้ ที่พวงมาลัย เพราะสะดวก ใช้งานง่าย และไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย
จีแอลเอสยังมีระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกบังลมหน้า หรือ เอชยูดี แต่สามารถปิดได้ถ้าใครไม่ชอบ
คันนี้ยังมีระบบสั่งการด้วยเสียงให้ด้วยครับ ใครอยากคุยกับมัน ก็ต้องเริ่มต้นด้วยคำว่า “Hey Mercedes” จากนั้นอยากได้อะไรก็ว่าไป เช่น บอกว่า I'm cold. ระบบก็จะเพิ่มอุณหภูมิให้ เสียดายที่ลืมลองพูดไปว่า I'm hot. อยากรู้ว่าระบบจะแปลความหมายไปทางไหน
จีแอลเอส ใส่ระบบต่างๆ เข้ามามากมาย อธิบายไม่หมดครับ เอาเป็นคร่าวๆ ก็แล้วกัน เช่น ไฟหน้ามัลติบีม แอลอีดี จำนวน 112 หลอด ทำงานอิสระจากกัน ทำให้สามารถเพิ่มจุดสว่างยามค่ำคืนได้มาก โดยไม่รบกวนผู้อื่น และหากขับไปไหนมาไหนคันเดียว มันยิงแสงไปได้ไกลกว่า 150 เมตร เลยทีเดียว เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงกว่า 40 กม./ชม. รวมถึงสามารถตรวจจับทางโค้งที่อับสายตาได้ไกลกว่าเดิม ช่วยให้มองเห็นเส้นทางได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น
ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้าในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัย ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา โดยจะมีไฟเตือนเป็นสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมสีแดง ระบบรักษาช่องจราจร เมื่อจะเปลี่ยนเลน แต่ระบบตรวจพบว่ามีความเสี่ยงจะชนกับรถคันข้างมันจะดึงกลับอัตโนมัติ บอกได้ว่าดึงจริงจังเลยครับ ซึ่งวิธีการดึงนั้นใช้การเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้าม
ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ ถุงลมด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ถุงลมด้านข้าง 4 ตำแหน่ง ม่านถุงลมด้านข้าง 4 ตำแหน่ง ถุงลมบริเวณหัวเข่าผู้ขับขี่ เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 7 ที่นั่ง ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี รวมถึงระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ
นอกจากนี้ก็มีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ 5 โซน แผนที่นำทาง ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ ทั้งแอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ ไฟเรืองแสง 64 สี ให้เลือกเอาตามใจชอบ เป็นต้น
เครื่องยนต์ เป็นแบบดีเซล เทอร์โบ แถวเรียง 6 สูบ 36 วาล์ว ขนาด 2,925 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 3,400-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9จี-โทรนิค) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ ช่วงล่าง แอร์เมติก (ถุงลม) ปรับระดับอัตโนมัติ ติดตั้งยางด้านหน้าขนาด 275/45 R21 ด้านหลัง 315/40 R21
ข้อมูลจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม.
เป็นการทำงานที่ลงตัว ระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ กำลังของเครื่องยนต์ที่มากโดยเฉพาะแรงบิดระดับ 600 นิวตันเมตรนั้นไม่ธรรมดา แต่เกียร์ 9จี-โทรนิค การถ่ายทอดกำลังไปยังล้อได้อย่างนุ่มนวล แต่รวดเร็ว ความแม่นยำที่สูง ทำให้การขับขี่ลื่นไหล ไม่มีจังหวะสะดุด และก็ไม่ต้องรอให้ขัดใจ ไม่มีจังหวะสะดุดให้จับได้เลย และพร้อมจะแปรอารมณ์ที่ร้อนแรงจากคันเร่งเป็นการเพิ่มความเร็วที่นุ่มนวลของตัวรถ
ช่วงล่างนุ่มนวล นั่งสบาย แต่ก็พร้อมรับกับกำลังของเครื่องยนต์ที่ตื่นตัวตลอดเวลา มีความเสถียร นิ่งแม้ใช้ความเร็วสูง และควบคุมรถในทางโค้งได้น่าพอใจ แม้จะเป็นรถที่มีความสูงค่อนข้างมาก และน้ำหนักที่มากด้วยก็ตาม รวมถึงช่วงที่ลองโยกรถเปลี่ยนช่องทางไปมา ก็ยังทำได้ดี แน่นอน มีอาการโยนตัวให้รู้สึกบ้างเมื่อขับขี่อยู่ที่โหมด คอมฟอร์ท แต่ไม่ถึงกับสร้างปัญหาให้ผู้ขับ แต่หากต้องการความมั่นใจเพิ่มขึ้น เอื้อมมือซ้ายไปปรับโหมดการขับเป็น สปอร์ต แล้วจะสนุกมากขึ้น และรับรู้ได้ถึงการทรงตัวที่ดีขึ้น
แม้จะเป็นรถที่มีขนาดใหญ่ แต่ขับในเมืองไม่ยาก รวมถึงพื้นที่แคบๆ อย่างตรอกซอกซอยที่ต้องเข้าทุกวัน หรือลานจอดรถที่มีมุมเลี้ยวแคบ ถูกบีบด้วยรถและเสาต้นเขื่อง ก็ยังสามารถพาจีแอลเอสผ่านไปได้ไม่ยาก ซึ่งรถก็มีตัวช่วยหลายอย่างสำหรับใครที่คิดว่ากะเส้นทาง กะวงเลี้ยวยาก ทั้งเซ็นเซอร์ ทั้งกล้องรอบคัน
ส่วนความคล่องตัวบนท้องถนนในเมืองหลวง แม้อยู่ในช่วงที่คนหนีโควิด-19 แต่หลายช่วงเวลาท้องถนนก็ยังหนาแน่น ถือว่า ฟูลไซส์ เอสยูวี คันนี้ทำได้น่าพอใจมากๆ ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังของเครื่องยนต์ที่สูง ช่วยให้รถตื่นตัวตลอดเวลา การเปลี่ยนช่องจราจร หรือหาทางแทรกไปยังพื้นที่ว่างๆ ทำได้รวดเร็ว พอๆ กับความคิด ขณะที่ความสูงของรถและมุมมองรอบคันที่โปร่งโล่ง ก็ช่วยผู้ขับประเมินสถานการณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำ และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้เครดิตด้วย คือ พวงมาลัย ที่ตอบสนองรวดเร็ว น้ำหนักดี และมีความแม่นยำสูงครับ
เป็นรถอีกคันที่น่าสนใจ และการอยู่ด้วยกัน 6 วัน ในกรุงเทพฯ ล้วนๆ ผมก็ชักจะติดใจกับยักษ์ใหญ่เมืองกรุงคันนี้ และได้คำตอบว่า มันเป็นรถที่ขับง่าย ใช้งานสบายๆ และเป็นยักษ์ใหญ่อีกคันที่ขับแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยครับ