เอ็มจี เอาจริง... ลุย ‘อีวี’ รุ่น 2 ‘MG EP’
ส่ง สเตชั่น แวกอน พลังงานไฟฟ้า ขยายฐานตลาด ชาร์จ 1 ครั้ง ขับขี่ได้ 380 กม.
เอ็มจี เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ในไทย แม้ว่าจะไม่ใช่รายแรกที่เปิดตลาด แต่การมาของ “แซดเอส อีวี” เมื่อกว่า 1 ปีที่แล้ว ก็ทำให้วันนี้ เอ็มจี ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย มากกว่า 90% ด้วยยอดขายสะสมมากกว่า 2,000 คัน
จากนั้น เอ็มจี ประกาศว่าจะมุ่งไปยังพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นในรูปแบบต่างๆ เพราะเชื่อว่า นี่คือทิศทางของอนาคต และเอ็มจี จะนำเสนอสินค้าที่เห็นว่าเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่นานมานี้ เอ็มจี เสริมตลาดด้วยรถ “ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” นั่นคือ “เอชเอส พีเอชอีวี” ซึ่งเป็นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ในตลาดแมส เป็นรุ่นแรกในไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ตลาดนี้ครองตลาดโดยรถยุโรปเท่านั้น และราคาขั้นต่ำเริ่มต้นที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท
ถัดจาก ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เอ็มจี กลับมาลุยตลาด อีวี อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว “เอ็มจี อีพี” (MG EP) เป็นอีวี รุ่นที่ 2 ต่อจาก “แซดเอส อีวี”
อีพี คือ “โรเว่ อีไอ5” (Roewe Ei5) ในตลาดประเทศจีน หรือ ถ้าจะย้อนไปมากกว่านั้น มันคือ การเปลี่ยนรุ่นของเอ็มจี 5 รถยนต์นั่งที่เคยทำตลาดในบ้านเรา แต่เจนเนอเรชั่นใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งรูปทรง และเทคโนโลยี พลังงาน
อีพี เป็นรถในรูปแบบสเตชั่น แวกอน และวางตลาดที่ต่างจาก แซดเอส อีวี นอกจากเรื่องขนาดที่ใหญ่กว่าแล้ว รูปทรงก็ต่างไป เพราะแซดเอส อีวี มีรูปแบบของเอสยูวี และจับตลาดบุคคลทั่วไป
แต่ อีพี นอกจากจะจับตลาดคนทั่วไป ก็ยังจับตลาดครอบครัว รวมถึงองค์กร ซึ่งการรวมตัวกันของอีวี 2 รุ่น ของเอ็มจี ถือว่ามีความน่าสนใจในเชิงการตลาดอย่างยิ่ง
เอ็มจี ระบุว่า อีพี เป็นรถที่ผสาน 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
- มิติตัวถังและพื้นที่การใช้งาน ด้วยจุดเด่นของการเป็นรถสเตชั่น แวกอน ที่มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย และพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ซึ่งหากพับเบาะหลังลงจะเพิ่มที่พื้นที่ได้สูงสุด 1,456 ลิตร
- ความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay ระบบความปลอดภัย โดยมีการทำงานผสานกันทั้งระบบ Active และ Passive Safety
- สมรรถนะ จากแบตเตอรี่ที่มีความจุขนาด 50.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง (แซดเอส อีวี 44.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ทำให้สามารถใช้งานได้ 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle - NEDC) และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-เมตร (แซดเอส อีวี 150 แรงม้า)
เกียร์ไฟฟ้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีโหมดขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport
ทั้งนี้การทำงานของแบตเตอรี จะมีระบบระบายความร้อนแบบหล่อเย็น ส่วนการป้องกันน้ำและฝุ่น อยู่ในระดับ IP67 หรือเท่ากับกันฝุ่นได้ 100% 8 ชม. อยู่ในน้ำลึก 1 เมตร ได้ 30 นาที
การชาร์จ ทำได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จตั้งแต่ 0 – 80% ใช้เวลา 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ตั้งแต่ 0 – 100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที
- ต้นทุนในการเป็นเจ้าของที่ต่ำ (Low cost of ownership) ทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
ในด้านรูปลักษณ์ กระจังหน้าแบบ Suspended Wing Grille ตกแต่งด้วยโครเมียมและ Piano Black ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน แอลอีดี ระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย แอลอีดี ไฟเบรก ดวงที่ 3 แอลอีดี ล้ออัลลอยสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension ด้านหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบทอร์ชั่นบีม
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งภายในด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม (Soft Touch) เบาะคู่หน้าออกแบบให้โอบกระชับผู้นั่ง หน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัล ขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล กระจกมองหลังตัดแสง
ส่วนระบบความปลอดภัย ให้มาเต็มที่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น
- เบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA
- เบรกมือไฟฟ้า
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง (Auto Vehicle Hold)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) จุดยึดเบาะ ISOFIX เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลังพร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ด้านค่าใช้จ่าย เอ็มจี ระบุว่า การชาร์จไฟ 1 ครั้ง มีประมาณ 200 บาท เมื่อคิดจากอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 3.96 บาทต่อหน่วย ไม่รวมค่า FT และภาษีมูลค่าเพิ่ม อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2563 เท่ากับว่ามีค่าใช้จ่ายในการใช้งานกิโลเมตรละประมาณ 50 สตางค์ นิดๆ
อีพี มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีเงิน (Metallic Grey) และสีดำ (Black Knight) ส่วนราคาอย่างเป็นทางการจะเปิดเผยในวันที่ 1 ธันวาคม ในงาน มหกรรมยานยนต์ พร้อมเปิดรับจองทันที
ทั้งนี้อีพี ซึ่งนำเข้าจากจีน และได้สิทธิพิเศษด้านภาษีนำเข้า 0% จากข้อกตกลงเขตการค้าเสรี อาเซียน -จีน เช่นเดียวกับ แซดเอส อีวี คาดว่าจะมีราคาสูงกว่า แซดเอส อีวี ไม่มากนัก
โดยปัจจุบัน แซดเอส อีวี มีค่าตัวอยู่ที่ 1,190,000 บาท