ฮอนด้า-เกรท วอลล์ ขยับ ตลาด บี-เอสยูวี แข่งดุ มองภาพรวม 5 ปีโตเท่าตัว
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ที่ตลาดรถยนต์จะต้องพยายามผลักดันยอดขายให้ได้มากที่สุด นำไปสู่การแข่งขันที่ดุเดือด และหนึ่งในนั้นคือ ตลาด บี-เอสยูวี จากการขยับตัวของทั้ง ฮอนด้า เอชอาร์-วี และ เกรท วอลล์ ที่ส่ง ฮาวาล โจไลอ้อน มาชิงแชร์
ตลาดรถเอสยูวี หรือ ครอสเวอร์ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นทิศทางที่เกิดขึ้นทั่วโลก หลังจากผู้บริโภคเห็นถึงประโยชน์การใช้สอยที่มากกว่า โดยเฉพาะการใช้งานในเส้นทางที่หลากหลายกว่า แต่สมรรถนะหรือความสะดวกสบายไม่ต่างจากรถยนต์นั่ง ดังนั้นจึงเห็นการพัฒนาสินค้า การทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบัน ตลาดเอสยูวี ในไทย มีหลากหลาย ทั้งรถในตลาดแมส ตลาดพรีเมียม รถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี และมีตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ รวมถึงรถที่มีพื้นฐานมาจากปิกอัพที่เรียกกันประเภทจัดเก็บภาษีว่า พีพีวี แต่การใช้งาน ก็คือ เอสยูวี ประเภทหนึ่ง
และสำหรับตลาด เอสยูวี หรือ ครอสโอเวอร์ ขนาดเล็ก (บี-เซ็กเมนต์) เป็นตลาดที่กำลังมีความเคลื่อนไหวอย่างมากในขณะนี้ และมีแนวโน้มที่จะแช่งขันกันรุนแรงหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คลายตัว และภาครัฐคลายล็อคมาตรการ
ช่วงนี้มีหลายค่ายที่ขยับตัว ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้า ที่เปิดตัว เอชอาร์-วี ใหม่ โดยเผยโฉม เปิดสเปคเรียบร้อยแล้ว แต่ยังรอเวลาเปิดราคาอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับผู้มาใหม่จากจีนอย่าง เกรท วอลล์ ที่ส่ง ฮาวาล โจไลอ้อน (Haval Jolion) มาเผยโฉมเรียบร้อยแล้ว และรอเวลาเปิดราคาเช่นกัน
ฮอนด้า เอชอาร์-วี นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ครองตลาด บี-เอสยูวี มาก่อน ด้วยจุดขายหลายอย่างที่โดดเด่น ทั้งการใช้งาน และสมรรถนะ ก่อนจะถูกท้าทายด้วยรถจากจีน อย่างเอ็มจี แซดเอส เมื่อหลายปีก่อน ด้วยจุดขายคือ ออปชั่น เยอะ แต่ราคาไม่แรง
และการมาของน้องใหม่อย่าง ฮาวาล โจไลอ้อน แต่หลายคนก็ประเมินกันว่าจะมาในแนวทางเดียวกับ เอ็มจี และอาจจะแรงกว่า อย่างน้อยในช่วงที่ยังไม่เปิดราคา ก็เห็นได้ว่า โจไลอ้อนใส่ออปชั่นเข้ามาเต็มที่ เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด และยังมีขนาดตัวถังที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย
และเมื่อย้อนกลับไปดูการเปิดตัวรถรุ่นแรกในไทย คือ ฮาวาล เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี ก็จะเห็นได้ว่า เกรท วอลล์ ใช้กลยุทธ์ด้านราคา ดังนั้นจึงค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ราคาของ โจไลอ้อนน่าจะสร้างความลำบากใจให้กับคู่แข่งไม่น้อย
ในด้านการตลาด โจไลอ้อน จะเป็นตัวคาดหวังในการสร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำให้กับเกรท วอลล์ หลังจากที่ เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี เป็นตัวบุกเบิกตลาด ตามมาด้วยรถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี อย่างโอร่า กู๊ดแคท เป็นรถที่ เกรท วอลล์ เรียกว่า “เกม เชนจ์” คือ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดอีวีในไทย
ผู้บริหารอย่าง ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ความมั่นใจว่า โจไลอ้อน จะทำตลาดได้ดี มาจากทั้งตัวผลิตภัณฑ์เอง และการทำตลาด และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ภาพรวมตลาด
เพราะเชื่อว่าตลาดเอสยูวี จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ประเมินว่าภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ตลาดรวมที่อยู่ในระดับประมาณ 1.2 แสนคัน จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 แสนคัน
ขณะที่ตลาดกลุ่ม บี-เอสยูวี ก็จะขยายตัวสูงกว่าตลาด โดยปัจจุบันกลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 20-30% ก็จะเพิ่มเป็น 50% ของตลาดรวม เอสยูวี นั่นหมายความเค้กก้อนนี้ใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นเพียงที่จะทำให้โจไลอ้อน สร้างตลาดได้เป็นกอบเป็นกำ
ในตลาดนี้ ยังมีรถอีกรุ่นที่น่าสนก็คือ มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ซึ่งก่อนหน้านี้นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2558 เป็นรถที่เสียเปรียบคู่แข่งในเรื่องของขนาดตัวถัง ห้องโดยสาร ที่เล็กกว่า ทำให้มาสด้าตัดสินใจปรับโครงสร้าง ทั้งลดราคาลงมา เพิ่มออปชั่น ซึ่งผลที่ได้คือ จากรถที่ทำท่าว่่าจะไปไม่รอด กลายเป็นรถที่มียอดขายเติบโตที่โดดเด่น เหมือนเป็นการคืนชีพขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ
ส่วนสถานการณ์ล่าสุด ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. ปีนี้ ซีเอ็กซ์-3 สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุด104% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยมียอดขายสะสมสูง 3,500 คัน
และล่าสุดมาสด้าขยับตัวอีกครั้งกับการเพิ่มออปชั่น เพิ่มสีให้กับ ซีเอ็กซ์-3 โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ มาสด้า เพิ่มอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger และรองรับระบบ Wireless Apple CarPlay ทุกรุ่น เอาใจผู้บริโภคยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ยังเพิ่มทางเลือกสีใหม่ คือ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ เพิ่มมุมมองอารมณ์สปอร์ตพรีเมี่ยม ซึ่งมาสด้า ตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่ม บี-เอสยูวี และ บี-คาร์ อัปเปอร์ ที่มองหารถเอสยูวีคันแรก และยังคงจำหน่ายในราคาเดิม คือ รุ่น BASE ราคา 769,000 บาท รุ่น BASE PLUS ราคา 809,000 บาท และ รุ่น COMFORT ราคา 879,000 บาท
ส่วนออปชั่นอื่นๆ หรือรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ ยังเหมือนเดิม โดย ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร ในทุกรุ่นย่อย เพียงรายเดียวในตลาด ซึ่งให้กำลังมากที่สุดใน เซ็กเมนต์ เดียวกัน โดยทำได้ 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร ส่วนอัตราการสิ้นเปลือง เคลมไว้ที่ 16.4 กม./ลิตร
ตลาดรถเข้าสู่โค้งสุดท้ายปลายปี บรรดาค่ายรถต่างๆ ขยับตัวกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในภาพรวม น่าจะส่งผลดีกับตลาดรถซึ่งช่วงท่ี่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดขายหดตัวลงไปเล็กน้อย เมื่อบวกกับงานอีเวนท์ต่างๆ ที่สามารถจัดได้ รวมถึงงานใหญ่อย่างมหกรรมยานยนต์ ก็น่าจะทำให้มีโอกาสเห็นเส้นกราฟที่เชิดขึ้นได้นับจากนี้