มินิ คูเปอร์ เอสอี ...ซิตี้ อีวี ขับไกลๆ เหมาะไหม
รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ อีวี ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าตลาดโดยรวมจะยังมีขนาดที่เล็กก็ตาม อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นเรื่องคาใจของผู้ที่สนใจ คือ อีวี มีความสะดวกในการใช้งานแค่ไหน
ปัจจุบัน บ้านเรามีรถพลังงานไฟฟ้า หรือ มีอีวี (EV) ทำตลาดมากกว่า 10 รุ่น ตั้งแค่ราคาไม่กี่แสนถึงหลักสิบล้านบาท
ฝั่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็โดดเข้าสู่ตลาดอีวีด้วยเช่นกัน ล่าสุด เปิดตัว ไอเอ็กซ์ กับ ไอเอ็กซ์ 3
แต่ว่าก่อนหน้านี้ ค่ายใบพัดสีฟ้าก่เคยนำ อีวี เข้ามา อย่างไอ 3 แต่ว่าไม่มีความเคล่อนไหวมากนัก ก่อนที่จะตามมาด้วยรถในเครือคือมินิ กับการเปิดตัว มินิ คูเปอร์ เอสอี (MINI Cooper SE)
มินิ คูเปอร์ เอสอี สร้างสีสันให้กับตลาดด้วยการเปิดจองออนไลน์ และหมดอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที แม้จะมึโควต้าไม่มากนักก็ตาม
มินิ คูเปอร์ เอสอี ได้รับการยอมรับในเรื่องของสมรรถนะ การขับขี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การออกแบบรถนั้น เน้นการเป็นรถอีวีที่ใช้งานในเมืองมากกว่า
โดยระยะทางต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ที่ระบุมาอยู่ที่ 217 กม. จากแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ความจุ 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนออนบอร์ดชาร์จเจอร์ของตัวรถ อยู่ที่ 50 กิโลวัตต์
แต่เป็นที่รู้กันว่า การใช้รถของคนไทยนั้น ต้องใช้งานได้หลากหลาย มินิ ก็ไม่ได้รับข้อยกเว้นตรงนั้น ดังนั้น มินิ ประเทศไทย จึงจัดกิจกรรมเดินทางไม่ใกล้ไม่ไกลนักอย่างเขาใหญ่ เพื่อให้เห็นว่า เจ้าของรถก็สามารถใช้งานเดินทางท่องเที่ยวได้
ระยะทางไป-กลับประมาณ 380 กม. แน่นอนว่าแบตเตอรีที่มีอยู่ไม่พอแน่ ดังนั้นการลองครั้งนี้จึงเป็นการลองความสะดวกในการเดินทางด้วยการมีจุดชาร์จรองรับ และต้องเป็นจุดชาร์จแบบชาร์จเร็ว หรือ DC Charger
ซึ่งเส้นทางไป-กลับ มีตู้ DC ที่แวะใช้บริการ ทั้งของ EA Anywhere ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ Elex by EGAT ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และ PEA Volta ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งที่โรบินสัน สระบุรี สถานีบริการน้ำมันบางจาก สถานีบริการนำ้มันพีที โรงแรมย่านเขาใหญ่ และโรงไฟฟ้าวังน้อย
ส่วนจุดที่ผมแวะชาร์จคือ โรบินสัน สระบุรี ซึ่งช่วงนั้้นแบตเตอรีเหลือประมาณ 30% ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ได้พลังงานเป็นประมาณ 80%
จากนั้นขับไปถึงโรงแรมย่านเขาใหญ่ เหลือแบตฯ ประมาณ 20% จอดชาร์จ เมื่อทานข้าวเสร็จ แบตเตอรีขึ้นมาที่ 98%
จากนั้นมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ เดินทางถึงวังน้อย อยุธยา แบตเตอรีเหลือ 50% และเมื่อดูจากระยะทางที่ยังสามารถขับขี่ได้จากมิเตอร์ ก็พอที่จะถึงที่หมาย แต่เพื่อความอุ่นใจก็แวะเติมที่โรงไฟฟ้าวังน้อยสัก 15 นาที ได้มาเป็น 85% และเมื่อถึงที่หมายที่กรุงเทพฯ เหลือแบตฯ ประมาณ 20%
สรุปค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟ ประมาณ 300 บาท หากมองในมุมนี้ ถือว่าคุ้มมากถ้าเทียบกับการใช้น้ำมัน
แต่ถ้าความสะดวก แน่นอนเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ ก็ต้องบอกว่าใช้เวลามากกว่า แต่ถ้ามองแง่ดี ก็เป็นเวลาที่เพิ่มขึ้นมาในระดับที่พอรับได้
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องบอกก็คือ การลองครั้งนี้ ผมก็ต้องการลองสมรรถนะของรถด้วยเช่นกัน การใช้ความเร็ว และอัตราเร่ง อาจจะมากกว่าการขับขี่ในภาวะปกติ
ซึ่งเมื่อพูดถึงสมรรถนะ มินิ คูเปอร์ เอสอี ที่มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร
เป็นรถที่ขับได้สนุก อัตราเร่งมาได้เร็วในทุกย่านความเร็ว ทำให้รถมีความกระฉับกระเฉง นั่นทำให้การขับขี่ครั้งนี้ใช้ความรุนแรงกับคันเร่งอยู่แทบจะตลอดเวลา
ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 7.3 วินาที
การควบคุมรถมั่นใจได้ ช่วงล่างเกาะถนนดี และให้อารมณ์สปอร์ตตามแบบฉบับมินิ รถนิ่ง เข้าออกโค้งได้เร็วและนิ่ง ไม่มีอาการหน้าดื้อ ท้ายดิ้น รถเคลื่อนที่ไปทั้งคัน เป็นอารมณ์ที่คนชอบขับรถจะต้องชอบมัน และต้องรับได้กับช่วงล่างที่กระด้างๆ เล็กน้อย
ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 152 กม./ชม. และก็แช่กันยาวๆ หลายช่วงทีเดียว
ผมเชื่อว่าถ้าหากการขับขี่ เป็นเหมือนผู้คนส่วนใหญ่บนท้องถนน คือ ใช้ความเร็วกลางๆ ตามๆ กันไป ใครขับช้าแช่ขวา ก็แช่ขวามตามเขาไปด้วย หรือจะแซงก็ค่อยๆ แซงแบบนุ่มนวล ระยะทางที่ได้น่าจะเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมากพอดู
แต่ด้วยสมรรถนะ ด้วยความสนุกในการขับขี่ของมินิ จะมีสักกี่คนที่จะขับแบบนั้น การเรียกกำลัง ดึงแรงบิดออกมาใช้จึงเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง
โดยสรุป มินิ คูเปอร์ เอสอี เป็นรถที่ขับสนุก ควบคุมรถง่าย สบายใจ ไม่เหนื่อย เรื่องสมรรถนะสอบผ่าน แต่การใช้งานจริงก็จะต้องเพิ่มเวลาบ้าง และวางแผนเส้นทางและจุดชาร์จล่วงหน้าก่อน หากต้องการเดินทางไกล
บวกลบคูณหารแล้วตัดสินใจกันได้เลยครับ