เผด็จการกับการพัฒนาเมือง
ผมเพิ่งกลับจากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงมะนิลา และขณะที่ท่านอ่านบทความนี้ คณะของผมก็กำลังสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงจาการ์ตาอยู่
ผมไปสำรวจที่กรุงมะนิลาและไปบรรยายที่นั่นมาหลายรอบ รวมทั้งที่กรุงจาการ์ตาที่ผมเคยไปทำงานให้กับธนาคารโลก ในโครงการสาธารณูปโภค และในโครงการที่ปรึกษาของกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย จึงขออนุญาตแบ่งปันข้อเท็จจริงเชิงเปรียบเทียบกับไทยเรา
เกซอนซิตี้
ที่ฟิลิปปินส์ เขาเคยสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่แทนที่กรุงมะนิลามาแล้ว ชื่อว่า "เกซอนซิตี้" (Quezon City) โดยเป็นนครหลวงในช่วงปี 2491-2516 มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภา กระทรวง และสำนักงานของทางราชการส่วนกลางทั้งหลาย มาตั้งอยู่รวมกันในนครหลวงแห่งใหม่นี้ ทั้งนี้ สาเหตุที่ย้ายเมืองหลวง เพราะกรุงมะนิลา "เน่า" เต็มทน ผู้บริหารจึงรู้สึกว่า "เกินเยียวยา" สร้างใหม่ดีกว่า ไทยเราก็ทำศูนย์ราชการเช่นที่แจ้งวัฒนะ แต่ก็ทำได้ "โหลยโท่ย" จริงๆ เพราะพื้นที่ก็เล็ก สร้างก็จำกัด ดูเหมือนไม่ได้มีการรวมศูนย์ราชการจริงๆ เลย
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะปรากฏว่าในภายหลังทั้งกรุงมะนิลาและกรุงเกซอนซิตี้ กลับเชื่อมต่อกัน เพราะห่างกันเพียง 17 กิโลเมตรเท่านั้น ภายหลังเกซอนซิตี้จึงกลายเป็นเพียงเทศบาลหนึ่ง ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Metro Manila หรือ "กรุงมะนิลาและปริมณฑล" ข้อนี้เป็นการชี้ชัดอย่างหนึ่งว่า การย้าย/สร้างเมืองหลวงใหม่ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราอาจย้ายศูนย์ราชการออกไปได้ แต่ก็อยู่แบบค่อนข้างโดดเดี่ยว เช่น กรุงวอชิงตัน กรุงแคนเบอรา กรุงบราซิเลีย หรือกรุงเนปยีดอ เป็นต้น แต่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจยังอยู่ยั้งยืนยงอยู่ที่เดิม เช่น ย่างกุ้ง นิวยอร์ก ซิดนีย์ เซาเปาโล เป็นต้น
คือหลายคนอาจเข้าใจว่าอดีต "กรุงเกซอนซิตี้" สร้างในสมัยมาร์กอส แต่ความจริงมาร์กอสมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2508 จึงไม่ได้มีส่วนในการสร้างเมืองนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด เผด็จการไม่ได้มาสร้าง แต่มา "กิน"! แต่มาร์กอสก็เป็นผู้ที่เลิกสถานะเมืองหลวงของเกซอนซิตี้ และให้มีสถานะเป็นเพียงเทศบาลหนึ่งในนครหลวงแห่งนี้ การมีเทศบาลหลายแห่งใน "กรุงมะนิลาและปริมณฑล" นี้ ในแง่หนึ่งก็เป็นแง่ดีที่ทำให้เกิดการกระจายอำนาจ แต่ละเทศบาลดูแลปัญหาได้ใกล้ชิด แต่ในด้านแง่ลบก็คือ ทำให้ขาดการประสานงานกัน
แต่ที่แน่ๆ สำหรับกรุงเทพมหานครก็คือ เราควรมีการเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต หรือแม้แต่หัวหน้าฝ่ายการศึกษา ฝ่ายเทศกิจ ฯลฯ ก็ควรให้มีการเลือกตั้ง ให้ข้าราชการเป็นแค่มือไม้หรือเครื่องมือสนองนโยบายของผู้แทนของประชาชน และควรให้มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ในอาเซียนมีเพียงไทยบรูไน และเมียนมาร์ ที่ไม่มีภาษีนี้) มาบริหารราชการให้สนองความต้องการของประชาชนจริงๆ
มาคาติ
ฟิลิปปินส์มีหลายสิ่งที่เจริญกว่าไทย เช่น เขาเคยจัดแข่งชกมวยชิงแชมป์โลก ระหว่างโจ ฟราเซียกับโมฮัมหมัด อาลี ที่เกซอนซิตี้เมื่อปี 2518 มาแล้ว นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังมีย่านธุรกิจชั้นนำใจกลางเมืองชื่อว่าเมืองมาคาติ (Makati) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรุงมะนิลา ถือเป็นศูนย์รวมสถาบันการเงิน ธุรกิจชั้นนำ อาคารสวยและสูงใหญ่มากมาย ที่สร้างและเจริญมาก่อนกรุงเทพมหานครเสียอีก
ในกรุงเทพมหานครของเราก็คงมีแต่ย่านสีลม สุรวงศ์ สาทร เป็นต้น แต่ย่านสีลม หรือแม้แต่ย่านค้าปลีกเช่น สยาม-ชิดลม-เพลินจิต ก็เป็นย่านที่เกิดขึ้นเองตามยถากรรม ไม่ได้ผ่านการวางแผนอย่างเป็นกระบวนการเช่นในกรณีของมะนิลา
ย่านอะยาลา (Ayala) ในใจกลางเมืองมากาตี ซึ่งเป็นเสมือนย่านวอลสตรีทหรือศูนย์กลางการเงินของนิวยอร์กนั้น แต่เดิมเป็นสนามบินเก่า เขาไม่เอาไปทำสวนสาธารณะแบบที่เรากำลังรณรงค์ ให้เอาที่รถไฟมักกะสันไปทำสวน (ทำไมไม่รณรงค์เอาที่ดินโรงเรียนเตรียมทหารหรือที่ดินบรรทัดทองจุฬาฯ ไปทำสวนบ้างก็ไม่รู้) มากาติจึงเป็นศูนย์รวมความเจริญ อาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพย่านสีลม ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2525 นั้น ในย่านมากาติ เขามีมาก่อนนับสิบปีแล้ว
ย่านมากาติ มีการตัดถนนหนทาง วางผังเมืองอย่างสวยงาม บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดได้ว่าการวางผังเมืองที่นี่ได้ผลเป็นอย่างดี ถ้าจะเดินเล่นในมะนิลาในยามวิกาล มากาติถือเป็นย่านที่เดินได้ แต่ถ้าไปในเขตเทศบาลมะนิลาที่เป็นเมืองหลวงเก่า ก็ไม่สามารถเดินได้ พูดมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจเข้าใจผิดว่า มาร์กอสเป็นผู้สร้างเมืองมากาติ แต่แท้จริงเขาพัฒนามาก่อนสมัยมาร์กอสแล้ว แต่มากาติก็เป็นศูนย์รวมสำคัญของการเดินขบวนขับไล่มาร์กอส
จาการ์ตาหลังซูฮาร์โต
จาการ์ตาเป็นอีกนครหลวงหนึ่งที่เคยเจริญยิ่งใหญ่กว่าเรามาก แต่มาชะลอไปในช่วงประธานาธิบดีซูฮาร์โต แต่อันที่จริงในยุคต้นของซูฮาร์โต ก็มีการพัฒนาทางหลวงพิเศษขึ้นมากมายเช่นกัน แต่เป็นการพัฒนาที่ต่อเนื่องมาจากยุคของซูการ์โน ที่เป็นประธานาธิบดีคนแรก และเป็นคนที่ถูกซูฮาร์โตจับไปขังในเมืองโบโกร์ ซึ่งเป็นเมืองบริวารหนึ่งของกรุงจาการ์ตา และเสียชีวิตเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีเพียงพอ
ศูนย์ธุรกิจใหม่ของกรุงจาการ์ตา ณ ถนนนายพลสุเดอแมน (Jend.Sudirman) และถนนราซูนาซาอิด (H.R.Rasuna Said) ก็เติบโตขึ้นมาอย่างจริงจัง หลังจากการโค่นอำนาจของจอมเผด็จการซูฮาร์โต หลังปี 2541 แล้ว โดยเฉพาะในช่วง 7-8 ปีหลังมานี้ ราคาสำนักงานพุ่งสูงขึ้นสูงนับเท่าตัว อันเป็นผลพวงจากการตื่นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อินโดนีเซียกลายเป็น "ยักษ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับ" หลังจากสลบไสลไปหลายสิบปี ภายใต้อำนาจเผด็จการซูฮาร์โตนั่นเอง
รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วีโดโด (Joko Widodo) ซึ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อ 9 กรกฎาคมปีที่แล้วกำลังคึกคักอย่างยิ่ง การลงทุนไหลบ่าเข้าประเทศเป็นอย่างมาก ส่วนในฟากประเทศฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโน ที่ 3 ที่ครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2553 จากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากเช่นกัน ก็ยังเป็นที่นิยมของประชาชน แต่ขณะนี้มีข่าวว่าคนรอบข้างของท่านประธานาธิบดีอาจมีกลิ่นโกงโชยมาแล้ว ซึ่งก็คงต้องดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ประเทศมักจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ส่วนในยุคเผด็จการ ประเทศมักถดถอยเพราะการโกงโดยไร้การตรวจสอบนั่นเอง
อย่าลืมประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าเรา ยังจัดเลือกตั้งได้โดยไม่หาว่าคนเขาถูกซื้อเสียง และไม่มีใครกล้าขัดขวางนะครับ