สหรัฐชิงผู้นำคริปโทโลก:กระแสที่ไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือในปี 2568

หนึ่งในเทรนด์และโอกาสเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้ที่น่าจับตามองคือ Decentralised Physical Infrastructure Network (DePIN) ซึ่งเป็นการเอาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น โครงข่ายโทรคมนาคม พลังงาน ขนส่ง มาบริหารจัดการอย่างกระจายศูนย์ โดยให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมและได้รับผลตอบแทน นับเป็นแนวทางสร้างและจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และปลอดภัยยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เช่นกัน คือ Artificial Intelligence ที่ขั้นต่อไป เราน่าจะได้เห็นมันถูก Decentralised เช่นเดียวกัน จากที่ AI ในตอนนี้นั้น แม้จะสร้างโอกาสและการทำงานใหม่ๆ มากมาย แต่ก็ยังมีราคาแพง ทำให้มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะสามารถแข่งขันได้ จึงทำให้ค่อนข้างมีความรวมศูนย์ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาเสริม จะช่วยลดการผูกขาดและทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากตัวอย่างทั้งสอง จะเห็นว่าที่จริงแล้ว บล็อกเชนจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแค่การเงินการลงทุน แต่ยังรวมถึงหลากหลายแง่มุมในชีวิตประจำวันด้วย

สำหรับด้านการเงินการลงทุนในประเทศไทย ความคืบหน้าด้านนโยบายที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่อง Investment Token ที่กำลังอยู่ระหว่างเสนอแก้ไขเพื่อโอนย้ายเข้าไปกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เรื่องภาษีที่จะมีความชัดเจนขึ้น และเรื่องความคืบหน้าของผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ขณะที่ประเด็นร้อนระดับโลก คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความสำคัญสูงเพราะเป็นหนึ่งในเสาหลักของผู้ใช้คริปโท โดยจากข้อมูลของ Chainalysis พบว่าตลาดคริปโทสหรัฐนั้นใหญ่ที่สุด ทิ้งห่างจากประเทศอื่นๆ ไปมากแม้กระทั่งจากอันดับสองอย่างสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอนุญาตให้มีผลิตภัณฑ์ Exchange Traded อย่าง Exchange Traded Funds (ETFs) ที่เชื่อมเม็ดเงินจากตลาด TradFi กับคริปโทเข้าด้วยกันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้เห็น ETF ของเหรียญอื่นๆ ที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็ก ด้วยในไม่ช้า

การที่นาย Donald Trump ชนะเลือกตั้งนั้น ได้สร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล เห็นได้ตั้งแต่ตอนนี้ที่แม้ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่ง ก็มีส่วนทำให้ราคาพุ่งมาแตะที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ ทั้งนี้ก็ด้วยแผนนโยบายที่เอื้อต่อคริปโท ที่เขาได้ให้ไว้ตั้งแต่ตอนยังเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในงาน Bitcoin 2024 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งแพลนบริหารงานที่ “Crypto-friendly” นี้ เช่น การพิจารณาระงับการขาย Bitcoin ของรัฐบาลเพื่อสร้างคลังสำรอง Bitcoin การเข้าซื้อเพิ่มเพื่อถือในระยะยาวผ่านการปรับมูลค่าใบสำคัญทองคำ (Gold Certificate) ในงบดุล ซึ่งนโยบายนี้ จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐจ่ายหนี้และพยุงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ดีขึ้น

ความชัดเจนของสหรัฐที่จะต้องการเป็นผู้นำ และแนวโน้มการ Institutionalise สินทรัพย์นี้ ถูกตอกย้ำอีกครั้งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยนาย Donald Trump ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "We're going to do something great with crypto because we don't want China or anybody else − and not just China, but others are embracing it − and we want to be the head.” 

นั่นคือ นาย Trump มีแผนที่จะผลักดันให้ Ecosystem ทั้งหมดอยู่ในสหรัฐให้ได้ อีกทั้งยังเสนอชื่อนาย Paul Atkins ผู้ซึ่งสนับสนุนคริปโทอย่างมากมาตลอด เป็นประธานบอร์ด ก.ล.ต. สหรัฐ

แม้ไอเดียที่รัฐบาลสหรัฐจะถือครอง Bitcoin เป็นจำนวนมากนี้ อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ เพราะยังมีข้อกังวลบางประการ เช่น ราคา Bitcoin ที่อาจยังไม่ผ่านจุดปรับฐาน (Price Correction) ราคาของเหรียญที่ถ้าขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าลง ความเสียหายก็จะไปตกอยู่กับผู้เสียภาษีทั้งหลาย และความขัดแย้งผลประโยชน์ที่อาจเกิดกับธุรกิจส่วนตัวของนาย Donald Trump

แต่ในมุมมอง Implications ต่อประเทศไทย ไม่ว่าสุดท้ายนโยบาย Bitcoin ของสหรัฐจะไปในทิศทางใดก็ตาม ไทยต้องห้ามลืมที่จะพิจารณาขยับตัวไปด้วย เพราะความคืบหน้าทางเทคโนโลยีนั้นหมุนไปทุกวัน สุดท้ายหากไม่ทำอะไร นอกจากเม็ดเงินจะไม่เข้ามาและทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียโอกาสโต ยังอาจมีการไหลออกของทั้งเงินทุนและบุคลากรที่มีความสามารถไปยังที่อื่น 

ดังนั้น เราจึงควรมองหาจุดแข็งที่จะพัฒนาควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในประเทศให้ได้ด้วย

Reference:

https://www.chainalysis.com/blog/north-america-crypto-adoption-2024/

https://www.usatoday.com/story/money/2024/12/19/bitcoin-strategic-reserve-stockpile-trump/77092608007/

https://www.morningstar.com/markets/what-expect-bitcoin-2025

https://www.cnbc.com/2024/12/12/watch-the-full-video-of-donald-trump-talking-with-jim-cramer-at-nyse.html )