"สามพลังที่ต้องจับตา : สหรัฐ จีน และอินเดีย"
สามประเทศที่จะมีผลกระทบมากต่ออนาคตของโลก คือสหรัฐ จีน และอินเดีย สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสามประเทศนี้ จะมีผลกระทบโดยตรง ต่อความเป็นอยู่ของไทย
ข่าวที่มีผู้สนใจระหว่างสหรัฐกับจีนล่าสุด ก็คงเป็นเรื่องลูกโป่งสอดแนมจากจีน ที่ลอยข้ามทวีปอเมริกาเหนือ และโดนยิงตกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาอเมริกันลงมติประณามจีน ส่วนทางจีนก็มีเสียงทั้งแข็งกร้าวติเตียน ว่าสหรัฐใช้กำลังรุนแรงเกินไป แต่อย่างไรก็ตามการติดต่อกันทางการทูต โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แถลงวันที่ 16 ก.พ.ว่า จะพยายามติดต่อเพื่อสนทนากับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง นับว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดี
แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลลบเพิ่มต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งกำลังเปราะบางอยู่แล้ว ขณะที่ทั้งสองรัฐบาลพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ ลดเงื่อนไขหลายอย่างลง หลังจากการเปิดไฟเขียวตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว เมื่อสองผู้นำมีโอกาสพบกันตัวต่อตัวที่บาหลี
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เราเห็นเป็นข่าวทั้งบวกและลบในแต่ละวันนั้น เป็นเรื่องที่ควรติดตาม เพื่อใช้วิเคราะห์การลงทุนและการวางแผนต่างๆ แต่สิ่งลบที่มาจากการเมืองระหว่างประเทศควรนำมาพิจารณาควบคู่กับสิ่งบวก ซึ่งผมขอยกตัวอย่างสองกรณี ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ทางบวกของสามประเทศนี้ คือ การค้าระหว่างกัน และการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐ
การค้าระหว่างสามประเทศนี้ มีสถิติที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นต้องพึ่งพาค้าขายระหว่างกัน แม้การเมืองดูเหมือนตึงเครียด แต่การค้าระหว่างสามพลังนี้กลับเฟื่องฟู ในทางการเมืองนั้น สหรัฐพยายามดึงอินเดียเข้ามาเป็นพวกเพื่อกดดันจีน และเริ่มใช้อินเดียเป็นแหล่งผลิตสินค้าแทนจีน แต่ในด้านเศรษฐกิจ ระยะสองสามปีที่ผ่านมานั้น จีนได้สองประเทศเป็นลูกค้าที่สำคัญ และได้เปรียบดุลการค้าเพิ่มขึ้นโดยสม่ำเสมอ
สหรัฐกับจีน : ปีค.ศ. 2022 สหรัฐส่งออกสินค้าไปจีน 154,000 ล้านเหรียญ แต่นำเข้า 537,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นสหรัฐขาดดุล 383,000 ล้านเหรียญ ปีค.ศ. 2021 ส่งสินค้าออกไปจีน 151,000 ล้านเหรียญ และนำเข้า 505,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นอเมริกาขาดดุล 354,000 ล้านเหรียญ ปี 2020 ส่งออก 125,000 ล้านเหรียญ นำเข้า 433 ,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นอเมริกาขาดดุล 308,000 ล้านเหรียญ
สหรัฐกับอินเดีย : ปีค.ศ. 2022 สหรัฐส่งสินค้าไปอินเดีย 47,000 ล้านเหรียญ และนำเข้า 16,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นสหรัฐขาดดุล 39,000 เหรียญ ปี 2021 ส่งออก 40,000 ล้านเหรียญ และนำเข้า 73,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นขาดดุล 33,000 ล้านเหรียญ ปี 2020 ส่งออก 27,000 ล้านเหรียญ และนำเข้า 51,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นสหรัฐขาดดุล 24,000 ล้านเหรียญ
อินเดียกับจีน:ปีค.ศ. 2022 อินเดียส่งสินค้าไปจีน 17,000 ล้านเหรียญ นำเข้า 119,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นอินเดียขาดดุลให้จีน 102,000 ล้านเหรียญ ปีค.ศ. 2021 ส่งออก 28,000 ล้านเหรียญ และนำเข้า 98,000 ล้านเหรียญ ปีนั้นอินเดียขาดดุล 70,000 ล้านเหรียญ
สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ การเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยของนักศึกษาจีนและอินเดียในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปีค.ศ. 2022 เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาจากอินเดียเข้าศึกษาต่อในอเมริกามากกว่าชาติใดทั้งหมด และแซงผ่านจีนซึ่งเป็นแชมป์แทบทุกปี
ช่วงเดือนต.ค. 2021 ถึงก.ค. 2022 นักศึกษาจากอินเดียเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 60% หรือ 78,000 คน ขณะที่นักศึกษาจากจีนลดจำนวนลงในระยะนั้น 30% หรือ 46,000 คน แต่เรื่องนี้อาจเป็นสิ่งชั่วคราวเพราะการปิดประเทศของจีนตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในช่วงนั้น
อาจทำให้นักศึกษาจากจีนลดลง และเกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอุดมศึกษาของอเมริกามาก เนื่องจากทศวรรษที่ผ่านมามีนักศึกษาจากจีนเรียนต่อระดับสูงในอเมริกามากกว่า 3,000,000 คน ซึ่งทรัพยากรมนุษย์กลุ่มนี้กลับไปช่วยสร้างเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคและการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก
ในปีการศึกษา 2021-2022 มีนักศึกษาจีนในสหรัฐอเมริกา 290,086 คน ลดลง 8.6% หากเทียบกับปีก่อนหน้านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่า หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเป็นทางการตั้งแต่ต้นปีนี้ จำนวนนักศึกษาจีนในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะทำลายสถิติเดิม และแซงอินเดียกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง
นักศึกษาจีนหลายคนที่กำลังจะขอวีซ่ามาศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกาตัดสินใจสมัครไปประเทศอื่นเป็นทางเลือกไว้ด้วย บ้างกลัวว่าจะโดนสหรัฐฯปฏิเสธวีซ่า บ้างกลัวจะไม่ได้รับการต้อนรับหรือโดนคุกคามระหว่างศึกษาอยู่ในอเมริกา จึงสมัครสำรองเพื่อไปเรียนที่อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ฯลฯ
สถานทูตและกงสุลสหรัฐฯในจีน ประกาศชัดเจนในเว็บไซต์ถึงนโยบายเปิดรับนักศึกษาจากจีนด้วยความยินดี และแสดงความเข้าใจถึงความกังวลของนักศึกษาจีนและครอบครัว สหรัฐย้ำว่าจีนเป็นประเทศที่ส่งนักศึกษาเข้าอเมริกาเป็นอันดับหนึ่ง และต้องการให้เป็นอย่างนั้นต่อไป และการศึกษาในสหรัฐอเมริกาของนักศึกษาจีนนั้น จะทำให้เกิดผลดีต่อการทูต การค้นคว้าวิจัย เศรษฐกิจที่รุ่งเรือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจของอินเดียในปัจจุบันเป็นอันดับ 5 ของโลก จึงทำให้มีพลังการซื้อสูง ซึ่งรวมทั้งการศึกษาต่อต่างประเทศ ในทศวรรษที่ผ่านมา นักศึกษาจากอินเดียเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสหรัฐกว่า 1,800,000 คนแล้ว แม้ดูเหมือนว่าจำนวนจะไล่ตามนักศึกษาจากจีน แต่คงจะใช้เวลาอีกนาน เพราะจีดีพีของจีนใหญ่กว่าอินเดีย 15 เท่า
จุดเด่นที่ชาวอินเดียใช้ภาษาอังกฤษแตกฉาน ทำให้นักศึกษาชาวอินเดียซึ่งสำเร็จการศึกษา มีโอกาสหางานในอเมริกาโดยเฉพาะอาชีพด้านเทคโนโลยีชั้นสูง และบางคนก้าวหน้าในสายงานไปขึ้นถึงเป็นผู้นำระดับ CEO ของหลายบริษัท เช่น Microsoft, Alphabet, IBM, Adobe เป็นต้น
ส่วนการโตของเศรษฐกิจอินเดียจะขึ้นมาเทียบเท่ากับจีนอเมริกาหรือไม่และเมื่อใดนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เพราะเงื่อนไขปัจจัยหลักหลายอย่างในอินเดียยังต้องปรับปรุงมาก โดยเฉพาะโครงสร้างการตลาดและการจัดระเบียบในประเทศ รวมทั้งกฎหมายพาณิชย์ คาดว่าในระยะ 5-10 ปีนี้ การบริโภคภายในประเทศอินเดียนั้นจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญมากกว่าการส่งออก
แต่สิ่งที่อาจจะทำให้อินเดียขยับขึ้นตามมาทัน หรือเกือบทันจีน คือจำนวนประชากร สหประชาชาติประเมินว่าภายในปีค.ศ. 2030 อินเดียจะมีประชากร 1,500 ล้านคน ขณะเดียวกันจีนจะลดจำนวนประชากรลงมาอยู่ที่ 1,400 ล้านคน
มิตรภาพกับทั้งสามประเทศและทุกประเทศ ที่ชาวไทยปฏิบัติมาโดยตลอดนั้น เป็นสิ่งที่เราควรรักษาไว้ และหากมีโอกาสก็ช่วยเป็นคนกลาง ปรับปรุงบรรยากาศระหว่างสหรัฐ จีน และอินเดียเสมอครับ