เศรษฐกิจสังคมสูงวัยกับบทบาท ‘เบบี้ บูมเมอร์’

สังคมสูงวัยเป็นความท้าทายของทุกประเทศทั่วโลก เมื่อคนในสังคมโดยเฉพาะคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างปี 2489 ถึง 2507 ช่วงอายุที่เรียกว่า “เบบี้ บูมเมอร์” เข้าสู่วัยเกษียณ
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ทํางานแล้ว ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ แต่ยังใช้จ่าย ปัจจุบันอายุระหว่าง 60-79 ปี มีสัดส่วนประมาณ 13% ของประชากรโลก และอยู่ได้ด้วยเงินหรือทรัพย์สินที่ลงทุนหรือเก็บออมไว้ เงินบํานาญ หรือไม่ก็เป็นภาระให้กับลูกหลานหรือรัฐบาลที่ต้องดูแล
ยิ่งจํานวนคนสูงวัยในประเทศมีมาก ภาระต่อประเทศและสังคมก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เป็นความท้าทายว่าประเทศจะไปต่ออย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงเบบี้บูมเมอร์ที่เกษียณอายุว่าควรมีบทบาทอย่างไรในสังคมสูงวัย นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
เมื่อพูดถึงสังคมสูงวัย ประเทศที่ต้องนึกถึงคือ “ญี่ปุ่น” เพราะญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีคนสูงวัยมากสุดประชากรญี่ปุ่นมี 122 ล้านคน ค่ากลาง (median) ของอายุประชากรอยู่ที่ 49.5 ปี หนึ่งในสิบของคนญี่ปุ่นมีอายุมากกว่า 80 ปี และประมาณหนึ่งในสามมีอายุมากกว่า 65 ปี
สาเหตุของสังคมสูงวัยในญี่ปุ่นก็เหมือนกับทุกประเทศคือ อัตราการเกิดที่ลดลงโดยอัตราเจริญพันธุ์ของสตรีญี่ปุ่นอยู่ที่ 1.2 ต่ำมาก ขณะที่อายุไขเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ 85.1 ปี ทำให้สังคมญี่ปุ่นเล็กลง และคนในสังคมอายุมากขึ้น คนสูงวัยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คือคนในช่วงอายุ เบบี้ บูมเมอร์
ผลกระทบสำคัญของสังคมสูงวัยคือ กําลังแรงงานของประเทศลดลง กระทบความสามารถของเศรษฐกิจที่จะขยายตัวและสร้างรายได้ กระทบการออมและผลิตภาพการผลิต
ผลิตภาพการผลิตที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการลงทุนของประเทศลดตํ่าลงตามการออมที่ลดลง อีกส่วนมาจากการขาดหายไปของการส่งต่อความรู้ในการทำธุรกิจและประกอบอาชีพจากคนที่เกษียณอายุให้กับคนในช่วงอายุต่อไป เช่น ในธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นความสูญเสียที่ยากจะทดแทน
แต่ที่สําคัญ ภาระรัฐบาลมีมากขึ้นในการดูแลประชากรสูงวัย ทั้งการรักษาพยาบาล การให้เงินช่วยเหลือ และค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ทั้งหมดส่งผลให้หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมา
ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามแก้ไขปัญหาโดยให้คนสูงวัยมีโอกาสทำงานหลังเกษียณ ไม่อยู่เฉย เร่งให้อัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้นโดยสร้างแรงจูงใจให้คนหนุ่มสาวญี่ปุ่นมีครอบครัวมีบุตรธิดา
รวมทั้งใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในกระบวนการผลิตเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเพิ่มผลิตภาพการผลิต เป็นตัวอย่างให้หลายประเทศได้ศึกษาและทําตาม
ที่ต้องตระหนักคือ ญี่ปุ่นเผชิญกับสังคมสูงวัยหลังประเทศประสบความสําเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว เป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับมือสังคมสูงวัย ทั้งหมดเป็นผลงานของคนญี่ปุ่นรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ที่ได้วางรากฐานไว้ ทําให้สังคมสูงวัยญี่ปุ่นสามารถไปต่อได้
อย่างไรก็ตาม เบบี้ บูมเมอร์ญี่ปุ่นก็ถูกวิจารณ์ว่าได้หล่อหลอมวัฒนธรรมการทํางานที่ไม่ชอบหรือปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง ทําให้การแก้ปัญหาในญี่ปุ่นทำได้ยากหรือช้า ผลคือเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวตํ่าต่อเนื่อง หนี้สาธารณะญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นภาระให้กับคนญี่ปุ่นรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไป
ที่ต้องพูดถึงคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ก็เพราะคนช่วงอายุนี้มีบทบาทสูงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองในการสร้างประเทศสร้างเศรษฐกิจในทุกประเทศช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อสรุปเกี่ยวกับบทบาทและผลงานของคนรุ่นนี้มีทั้งบวกและลบ
ในบางประเทศคนรุ่นนี้ทำหน้าที่ได้ดีประสบความสำเร็จ ประเทศและเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า การเมืองมีเสถียรภาพ และความเป็นอยู่ของคนในประเทศดีขึ้นทั่วหน้า
แต่ในบางประเทศคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ล้มเหลว เศรษฐกิจของประเทศไม่พัฒนาเท่าที่ควร การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ซ้ำคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ในประเทศเหล่านี้ เมื่อแก่ตัวหรือสูงวัยจะไม่ชอบและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ประเทศจึงไม่เดินหน้า ความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศจึงยังไม่ดีขึ้น ความเหลื่อมลํ้ามีมาก
ความแตกต่างของความสำเร็จของคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ในการสร้างประเทศจึงทําให้แต่ละประเทศมีความพร้อมที่จะเผชิญกับสังคมสูงวัยต่างกัน เช่น กรณีไทยเทียบกับญี่ปุ่น
พูดง่ายๆ ถ้าคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ประสบความสำเร็จในการสร้างชาติสร้างประเทศเมื่อตอนอยู่ในวัยทํางาน ประเทศมีการพัฒนา เศรษฐกิจเจริญเติบโต คนในประเทศส่วนใหญ่ก็จะรวยตอนแก่ คือมีเงินพอที่จะดูแลตัวเองให้มีชีวิตที่ดีเมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย เช่นกรณีญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์
ตรงกันข้าม ในประเทศที่เบบี้ บูมเมอร์ล้มเหลวในการทําหน้าที่ คนในประเทศจะมีปัญหามากเมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย เพราะคนสูงวัยส่วนใหญ่ไม่มีเงินพอที่จะดูแลตัวเอง คือแก่แล้วแต่ไม่รวย ชีวิตหลังเกษียณยังต้องดิ้นรน ต้องพึ่งลูกพึ่งหลานหรือรัฐบาล เป็นภาระให้กับคนที่ทํางานอยู่
ผมเองก็รุ่นเบบี้ บูมเมอร์ไทยและคิดว่า คนรุ่นผมหรือเบบี้ บูมเมอร์ไทยล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ในการสร้างชาติสร้างประเทศให้เจริญก้าวหน้าเทียบกับคนรุ่นเดียวกันในประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซํ้ายังทิ้งปัญหาไว้มากมายให้กับคนรุ่นหลัง
จุดอ่อนคนรุ่นผม ถ้าจะให้พูด ไม่ใช่เรื่องความรู้ความสามารถ แต่เป็นเรื่องสํานึกต่อส่วนรวม ที่คนส่วนใหญ่มี แต่ไม่แสดงออก ขณะที่คนส่วนน้อยไม่สนใจ มุ่งแต่อํานาจและผลประโยชน์ส่วนตน ยอมรับระบบอุปถัมภ์เหนือประโยชน์ของส่วนรวมและความถูกต้อง คนส่วนน้อยเหล่านี้มีอํานาจ ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ปัญหาของประเทศจึงมีมากและแก้ไขยาก
เมื่อประเทศไม่มีการแก้ปัญหาอย่างที่ควรทํา ไม่ยอมทําสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ระบบและทรัพยากรของประเทศที่จะรองรับสังคมสูงวัยก็จะไม่มี ไม่เหมือนญี่ปุ่น ปัญหาสังคมสูงวัยของประเทศเราก็จะรุนแรงเมื่อจํานวนคนสูงวัยเพิ่มมากขึ้น เป็นภาระที่อาจเกินความสามารถที่คนรุ่นหลังจะรับได้ คือเราส่งต่อประเทศให้กับพวกเขาไม่ดีพอซ้ำยังมีปัญหามาก
นี่คือประเด็นที่อยากให้เบบี้ บูมเมอร์รุ่นผมตระหนัก และเราควรช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขเพื่อส่งต่อประเทศที่ดีขึ้นในเวลาที่ยังเหลืออยู่
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
bandid.n@ppgg.foundation