SETHD อีกหนึ่งกลยุทธ์ชดเชยช่วงดัชนีผันผวน
การลงทุนในปี 2562 นี้ เราคงไม่ปฏิเสธว่ามาพร้อมกับความหวัง โดยเริ่มต้นจาก เรื่องภายในประเทศที่ถูกส่งต่อมาจากปีก่อนและยังคงมีผลถึงปัจจุบัน
นั่นก็คือ การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งอีกไม่เกิน 60 วัน เราจะได้ไปลงคะแนนเสียง ส่วนเรื่องถัดไปเป็นประเด็นจากต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมีความคืบหน้ากันบ้างแล้ว แต่ทางฝั่งสหรัฐฯ ก็ยังมีประเด็นสำคัญอื่น ๆ ที่เตรียมนำไปถกกับผู้นำจีนต่อในเดือนนี้ เพื่อสรุปข้อตกลงระหว่างกันให้ทันก่อน 1 มี.ค. หรืออาจพิจารณาขยายระยะเวลาการเจรจาออกไปเพื่อให้ได้ข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมในทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เพิ่งผ่านการประชุมรอบแรกของปีไปเมื่อไม่นาน จุดสังเกตอยู่ที่ถ้อยแถลงการณ์ของประธาน Fed จนทำให้ตลาดเริ่มจับสัญญาณได้ว่า Fed จะคงดอกเบี้ยฯ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงิน รวมถึงผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้ากับจีน
ถัดมาคงหนีไม่พ้นประเด็นร้อนในยุโรป คือ Brexit ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นอย่างที่กังวลกันว่า คณะกรรมาธิการยุโรปอาจไม่รับแก้ไขข้อตกลงถอนตัวจากรัฐบาลอังกฤษ โดยอาจจะเลื่อนกำหนดการถอนตัวออกไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ประเด็นซึ่งมีนัยยะนับจากนี้คงเลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลอังกฤษต้องดำเนินการเพื่อคลี่คลายปัญหาการเมืองในประเทศให้ได้เร็วที่สุด
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด หากลองวิเคราะห์ในแต่ละประเด็น เราจะพบว่าประเด็น Brexit ไม่ใช่เรื่องใหม่ ปัญหาการเมืองในอังกฤษอาจถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในประเทศฝรั่งเศส การตัดสินใจชะลอขึ้นดอกเบี้ยฯ ของ Fed ก็ยังไม่ได้ยืนยันเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชัดเจน รวมไปถึงประเด็นพิพาทระหว่างสหรัฐฯ กับจีนด้านการค้า ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีทางออกในข้อขัดแย้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรติดตาม ดังนั้นความไม่ชัดเจนดังกล่าวย่อมส่งผลดีบรรยากาศการลงทุน
ขณะที่ประเด็นในประเทศเองก็เช่นกัน นักวิเคราะห์หลายสำนัก มักหยิบยกสถิติต่าง ๆ มาอ้างอิงเกี่ยวกับ ตลาดหุ้นหรือภาพการลงทุน ว่าจะเป็นอย่างไรในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งฯ แต่ถึงตรงนี้ เราอาจจะต้องพักเรื่องข้อมูลในอดีตไว้ก่อนเพราะการเลือกตั้งฯ ครั้งนี้ มีจุดเปลี่ยน 3 จุด ซึ่งทำให้สถิติเดิม ๆ อาจเป็นเพียงอดีตที่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้
จุดแรก คือ สื่อหรือช่องทางการหาเสียง นับว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับสื่ออื่น ๆ ในปัจจุบัน จุดที่สอง จำนวนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหน้าใหม่หรือผู้ที่มีโอกาสลงคะแนนเสียงเป็นครั้งแรก ประมาณ 6.5 ล้านราย ซึ่งมียอดสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หรือคิดเป็นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ประมาณ 35 ล้านราย และจุดที่สาม คือ กติกาการเลือกตั้งฯ ซึ่งเปลี่ยนทั้งในเรื่องของการแบ่งเขต บัญชีรายชื่อ รวมถึงการเสนอชื่อและเลือกนายกฯ
ที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนได้ว่า พบว่า ความผันผวนและความไม่แน่นอนมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ปัจจัยในประเทศของเราดูเหมือนจะชัดเจนกว่าในเชิงว่าการเลือกตั้งฯ น่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมดี และแผนการลงทุนในห้วงเวลา 2 – 3 ปี ที่ผ่านมาก็จะเริ่มส่งผลดีอย่างต่อเนื่องนับจากปีนี้เป็นต้นไป ผมจึงอยากเสนอมุมมองการลงทุน ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของตลาด ในขณะที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในกระแสเงินสด นั่นก็คือ พิจารณาคัดเลือกหุ้น โดยเฉพาะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานดี หุ้นขนาดใหญ่ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น หรือ หุ้นที่อยู่ในดัชนี SETHD (SET High Dividend)
ทั้งนี้ หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) พบว่า หุ้นที่อยู่ในดัชนี SETHD สามารถสร้างกระแสเงินสดจากอัตราเงินปันผลได้สูงในรอบ 3 ปีเฉลี่ยประมาณ 5% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีให้ผลตอบแทนประมาณ 2.5% ดังนั้น จากปัจจัยที่ไม่แน่นอนย่อมส่งผลต่อดัชนีตลาด แต่หากเลือกแบ่งเงินบางส่วนเพื่อจัดสรรพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงผมมองว่ายังสามารถชดเชยความผันผวนของราคาหุ้นในปีนี้ได้ ครับ
“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน"