พรก.ฉุกเฉิน เคอร์ฟิว และ ปิดประเทศ
หลายคนต่างสดับรับฟังว่า ปัญหาโควิด จะได้รับการแก้ไข เยียวอย่างไร ในทางการปกครอง
อย่างแรกการที่รัฐบาลงัด พรก.ฉุกเฉิน ที่มีเจตจำนงในการร่างขึ้นมาเพื่อดับปัญหาการเมืองและความมั่นคงเป็นหลัก
ในอดีตที่ผ่านมา พรก.ได้นำมาใช้หลายต่อหลายครั้ง ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งในรัฐบาล ทักษิณ เอง ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เอง และรัฐบาล ยิ่งลักษณ์
มาวันนี้ นายกฯลุงตู่ ประกาศใช้พรก.ดังกล่าว และถือว่าเป็นครั้งแรกที่ใช้ พรก.ฉุกเฉิน มากักกันโรคระบาด
ในหลายมาตราให้อำนาจเอาไว้ในการห้ามคน ห้ามยานพาหนะ ห้ามทุกสิ่งอย่าง เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน รัฐบาลพุ่งเป้าไปที่คน คนคือพาหะนำเชื้อโควิด ไปสู่คน แพร่กระจายจากในเมืองไปชนบท จากกทม.ไปต่างจังหวัด จนตอนนี้มีเพียง19จังหวัดที่ เชื้อโควิด-19 ยังไปไม่ถึง
การใช้กฎหมายหรือ”ยาแรง”ในการจัดการกับคน ในห้วงเวลาที่มันน่าจะช้ากว่าเชื้อ เพราะทันทีที่ กทม. ประกาศ ”ชัตดาวน์” ธุรกิจ คนที่ฝังตัวอยู่กับธุรกิจในกรุง ก็กระจายเป็นผึ้งแตกรัง
กลับภูมิลำเนากันหมด จะห้ามก็ห้ามไม่ทันเพราะไม่ได้ห้ามก่อนจะออกมาตรการ ”ชัตดาวน์” โดยฝ่ายบริหาร คำนึงถึงแค่ค่า “เยียวยา” คือมองแต่ปมปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้อง ไม่ได้มองว่า เชื้อมันไปกับคน
เมื่อพรก.ฉุกเฉินทำท่าจะเอาไม่อยู่ ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันไว้แล้วว่า “พรก.ฉุกเฉิน” แค่น ยาพาราฯ ไม่ใช่ ”ยาแรง” ขณะที่เชื้อมันลามไปทั่ว จำนวนผู้ติดเชื่อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น
รัฐบาลก็ขยับมาใช้การผ่าตัดเล็กหรือที่เรียกว่า “เคอร์ฟิว”
ความจริงเคอร์ฟิวก็ไม่น่าจะถึงกับเป็นการผ่าตัดเล็ก เพราะเคอร์ฟิวก็มาพร้อมพรก.ฉุกเฉิน อยู่แล้ว เรียกได้ว่าก็แค่ ยาพาราฯ เท่านั้น
รัฐบาลเชื่อที่ปรึกษาทางสุขภาพว่า หากเคอร์ฟิว14-15วัน จะเป็นช่วงที่ เชื้อพีค ใน2สัปดาห์แรกของเดือนเมษายน หลังจากนั้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลง นั้นแสดงว่ามาถูกทาง
แต่เจ้าโควิดนี่ ไม่มีใครคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ ก็ต้องเหมือนหนูลองยา ลองผิดลองถูกไปก่อน
เท่ากับว่าเรายังใช้ ”ยาอ่อน” ไปอีกครึ่งเดือน หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจึงจะใช้ยาแรงคือ ”ปิดประเทศ”
จึงมีคำถามว่า ปิดประเทศเพื่อกักเชื้อเอาไว้ให้อาละวาดกับคนไทยที่อยู่ในประเทศหรือ เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ปิดประเทศ ทำให้คนนำเชื้อโควิดเข้ามาเต็มพิกัดแล้ว
วันนี้มาตรการต่างๆที่ออกมา มันก็เท่ากับ เชื้อมันดื้อยา เอาไม่อยู่ เพราะอว่าจะไปผ่าตัดเชื้อมันลามไปทุกส่วนของร่างกาย การผ่าตัดก็ไม่ได้ผล เนื่องจากไม่ทันกับอาการของโรค
ไหนๆประเทศเสียหายทั้งชีวิตคนและสุขภาพแล้ว เลยไม่ทราบว่านายกฯจะรออะไรอยู่อีก อย่าลืมว่านี่คือเดิมพันครั้งใหญ่ของนายกฯและรัฐบาล
หากประชาชนรอด ประเทศก็รอด รัฐบาลก็รอด แต่หากครั้งนี้ประชาชนไม่รอด ประเทศไม่รอด รัฐบาลก็ไม่รอดเหมือนกัน
หวังว่ารัฐบาลจะชนะ ประเทศและประชาชนจะได้รอด