ทำไมหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กจึงน่าสนใจ
ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กให้ผลตอบแทน 8.2% ขณะที่ SET Index ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -5.3%
และผลตอบแทนของ SET50 อยู่ที่ -12.4% จะเห็นว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ในขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมและหุ้นขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนติดลบ สะท้อนให้เห็นว่าผลตอบแทนของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอิงกับภาวะตลาดน้อยมาก การเคลื่อนไหวของราคาของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะอิงตามผลประกอบการของแต่ละบริษัทเป็นหลัก นอกจากนี้ ผลตอบแทนของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กตั้งแต่ต้นปี 2021 ถึงกลางเดือนมี.ค.2021 อยู่ที่ 20.5% ขณะที่ผลตอบแทนของ SET Index อยู่ที่ 9% และผลตอบแทนของ SET50 อยู่ที่ 7% จะเห็นว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่และให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดกว่า 10% สาเหตุที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กให้ผลตอบแทนสูง เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่นโอกาสในการเติบโตสูง การปรับตัวได้เร็วในภาวะวิกฤติ และโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆได้ง่ายกว่าบริษัทขนาดใหญ่ เป็นต้น
บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมีการเติบโตมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่เนื่องจาก บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก มีโอกาสในการเติบโตจากการแย่งส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) จากคู่แข่งหรือบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้การเติบโตของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการปรับตัวที่ดี แม้อยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ต่างจากบริษัทขนาดใหญ่ที่การเติบโตจะเป็นการเติบโตตาม GDP หรือตามขนาดเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดมากจนหาโอกาสในการขยายกิจการในประเทศได้น้อย ทำได้เพียงเติบโตตามกำลังซื้อของคนในประเทศเท่านั้น และเติบโตได้ยากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้วทำให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องเน้นไปที่การขยายตลาดในต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากต้องไปลงทุนในตลาดที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก ซึ่งจะเห็นได้ว่าการไปลงทุนในต่างประเทศของบริษัทในประเทศไทยมีความยากลำบาก จนทำให้บางบริษัทต้องล้มเลิกการลงทุนในต่างประเทศเนื่องจากไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างแท้จริง
การเกิดโรคระบาดในปีที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นการปรับตัวของบริษัททั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้และสามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมีการปรับตัวได้ดีและรวดเร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ในหลายๆด้าน เช่น ด้านการบริหารต้นทุน การปรับช่องทางการจำหน่ายสินค้า และการโฆษณาสินค้า เป็นต้น สิ่งที่ทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กปรับตัวได้เร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่เนื่องจาก บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมีโครงสร้างบริษัทและธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน ทำให้เมื่อเกิดภาวะวิกฤติ เช่น โรคระบาด COVID-19 บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าจากการขายตามหน้าร้านเป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยหลายบริษัทให้พนักงานขายทำงานจากที่บ้าน แต่ยังสามารถขายสินค้าได้เหมือนเดิมผ่านช่องทาง Social Media ของตนเองหรือการโทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อเสนอขายสินค้าโดยตรง นอกจากนี้บางบริษัทได้ใช้โอกาสในช่วง Lockdown ในการพัฒนาช่องทางการขายสินค้าออนไลน์และการลงโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ หรือมากไปกว่านั้นบางบริษัทสามารถปรับตัวได้เพื่อให้ได้ประโยชน์จากช่วง Lockdown โดยเพิ่มการขายสินค้าที่จำเป็นในช่วง Lockdown ทำให้ยอดขายและกำไรลดลงไม่มากและสามารถฟื้นตัวได้เร็วหลังจากช่วง Lockdown ซึ่งจะเห็นการปรับตัวเหล่านี้เกิดขึ้นในบริษัทขนาดกลางและบริษัทขนาดเล็กได้เร็วและมีประสิทธิภาพอย่างมาก นอกจากนี้ในการบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถปรับตัวได้เร็ว ยังเปิดโอกาสในการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากการเข้ามาเป็นผู้เล่นรายแรก ๆ (First Mover Advantage) ที่จะส่งผลให้ยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เช่น การลงทุนในธุรกิจกัญชง ที่กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนและผู้ประกอบการในขณะนี้ เป็นต้น
นอกจากนี้หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กยังไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซึ่งมีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ รวมไปถึงนักลงทุนรายย่อยที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายต่อวันค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่สามารถซื้อขายตามปริมาณที่ต้องการได้ภายในเวลาที่จำกัด นอกจากนี้การติดตามข้อมูลของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กทำได้ยาก เนื่องจากมีข่าวและบทวิเคราะห์น้อย ทำให้การติดตามข้อมูลต้องใช้เวลาและความใส่ใจอย่างมาก การติดตามข้อมูลของบริษัทยากนั้น มีโอกาสทำให้ราคาหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถค้นหาหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ทำธุรกิจที่ดี มีโอกาสในการเติบโตสูงและสามารถถือหุ้นเหล่านั้นในระยะกลางถึงยาวได้จนมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาสนใจลงทุน นักลงทุนจะสามารถทำกำไรกับหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กได้อย่างมาก เนื่องจากเมื่อนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาลงทุน ราคาหุ้นจะถูกไล่ซื้อจนมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก