ความรับผิดชอบที่มีแต่ได้กับได้

ความรับผิดชอบที่มีแต่ได้กับได้

ทุกวันนี้ เรายังคงวุ่นอยู่กับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19  ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดดี ยี่ห้อไหนดีกว่ากัน มีผลข้างเคียงร้ายแรงมากน้อยเพียงใด หรือ ฯลฯ

เรื่องนี้  เราคงไม่มีทางได้คำตอบที่เป็นข้อยุติที่ชัดเจน  เพราะมีข้อมูลมากมายที่ย้อนแย้งกันทั้งด้านวิชาการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดในวันนี้ ก็คือ ยังไม่มีใครหรือข้อมูลใดที่สามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นได้อย่างสนิทใจว่าถูกต้องน่าเชื่อถือ  เรื่องนี้จึงอาจจะอยู่วังวนที่ผู้คนต้องพูดคุยกันอีกระยะหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าเรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือสิ่งที่เราเรียนรู้จากสถานการณ์ COVID-19  เพื่อเราจะได้ อยู่ให้เป็นในอนาคตต่อไป

ว่าไปแล้ว  เราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสถานการณ์ COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสำคัญของสุขภาพ  การป้องกันการแพร่เชื้อ  การต้องใส่หน้ากาก  การรักษาระยะห่าง  การล้างมือ  การฆ่าเชื้อในสถานที่ทำงานและที่บ้านพักอาศัย  การต้อง อยู่บ้าน เพื่อหยุดเชื้อ เพื่อชาติ (ซึ่งนำไปสู่การต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้น และมีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิดมากขึ้น) และอื่นๆ อีกมากมาย

ความร้ายแรงของสถานการณ์ COVID-19 ในรอบนี้  ทำให้เราเรียนรู้ถึง ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม มากขึ้น  นอกจากเราทุกคนต่างต้องดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เพื่อจะไม่ทำให้คนใกล้ชิดต้องติดโควิดและเดือดร้อนแล้ว  เรายังต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการไม่เป็นผู้แพร่กระจายโรคโควิดให้ผู้คนเจ็บป่วยและเดือดร้อนตามไปด้วย

สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เราเรียนรู้และตระหนักถึง ความเสี่ยงต่อสุขภาพในทุกรูปแบบมากขึ้น  ต้องรู้จักหลบเลี่ยงความเสี่ยง  และตรวจประเมินสุขภาพตนเองเป็นประจำ  เพื่อรีบรักษาได้อย่างทันการณ์ต่อไป

และเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง  เราก็จะคุ้นชินจนเป็นปกติวิสัยกับการที่ต้องยกการ์ดสูงในยุคของ “วิถีชีวิตใหม่หรือ “New Normal” ด้วยการใส่หน้ากาก (2 ชั้น)  การรักษาระยะห่าง (1-2 เมตร)  การหมั่นล้างมือ  โดยเฉพาะการดำรงชีวิตด้วยความรับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น

องค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมก็จะต้องปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน คือ จะมุ่งแต่กำไรอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “พนักงานด้วยการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานมากขึ้น เพราะการเป็นโควิดของใครคนใดคนหนึ่ง จะมีผลกระทบมากมายต่อองค์กรโดยรวม  โดยเฉพาะภาพลักษ์ขององค์กร  ดังนั้น ทุกองค์กรจะต้องเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกรูปแบบ  จึงจะอยู่รอดปลอดภัยและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

ตั้งแต่นี้ไป องค์กรส่วนใหญ่จึงต้องยึดเอา “การพัฒนาอย่างยั่งยืน( Sustainable development : SD ) เป็นบรรทัดฐาน คือ ต้องประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างชัดเจนและจริงจังมากขึ้น

ปัจจุบัน เรามักจะพูดถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจอุตสาหกรรม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ซึ่งหมายถึง การที่ธุรกิจอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนหรือผลประกอบการที่เหมาะสมในทางเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่สำคัญ คือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development)  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญขององค์กรว่านอกจากจะสร้างสรรค์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (กำไร) แล้ว องค์กรยังสามารถเกื้อหนุนชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมให้พัฒนาและเติบโตควบคู่กันอยางสมดุลพร้อมๆ กันไปด้วย

            ในการประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น  องค์กรสามารถใช้  แนวความคิด  และวิธีประพฤติปฏิบัติที่มีอยู่หลากหลายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของธุรกิจอุตสาหกรรม ปรัชญาในการทำธุรกิจและประกอบกิจการ  วิสัยทัศน์  และพันธกิจ ตลอดจนค่านิยมและวัฒนธรรมขององค์กร อาทิ แนวความคิดในเรื่องของ Green and Clean,  Creating shared value,  Corporate citizenship,  ESG,  BCG,  SDG  เป็นต้น

            ดังนั้น  การอยู่โดยมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งต่อตนเองและสังคม  โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนนั้น  จึงเป็นเรื่องที่ “ผู้นำจะปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว  และมีแต่จะต้องเพิ่มเรื่องนี้ให้ปรากฏชัดเจนมากขึ้น  เพื่อจะได้รับการยอมรับทั้งจากภายในองค์กรและสังคมภายนอกอย่างยั่งยืน

การอยู่ร่วมกันด้วยความรับผิดชอบ เราทุกคนจึงมีแต่จะได้กับได้  ครับผม !