อนาถใจกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ มาดูมัลดีฟส์เถอะ
ขณะที่ไทยเรากำลังพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แต่ดูจะไม่ค่อยเข้าเป้า เรามาดูมัลดีฟส์ดึงดูดนักท่องเที่ยวกันเถอะ
ตามข้อมูลของ CIA World Factbook (https://shorturl.at/nwIOU) มัลดีฟส์นั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมาตั้งแต่ปี 2430 และได้กลายมาเป็นสาธารณรัฐเมื่อปี 2511 มัลดีฟส์มีขนาดแค่ 298 ตารางกิโลเมตรหรือมีขนาดเพียงหนึ่งในห้าของกรุงเทพมหานคร หรือมีขนาดใหญ่กว่าเขตหนองจอก เขตที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพมหานครเพียงเล็กน้อย
จุดที่สูงที่สุดของเกาะสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 5 เมตรเท่านั้น สภาพอากาศร้อนชื้นเช่นเดียวกับประเทศไทย ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่มีของมัลดีฟส์ก็คือปลา แต่ก็มีที่ดินทำการเกษตรอยู่ 23% มีป่าไม้อยู่แค่ 3% มัลดีฟส์มีเกาะถึง 1,190 เกาะ แต่ที่มีคนอยู่มีเพียง 185 เกาะเท่านั้น
ประชากรราวหนึ่งในสามอาศัยอยู่บนเกาะที่เป็นเมืองหลวงชื่อ มาเล่ (Male) แต่ประชากรโดยรวมมีเพียง 390,669 คนเท่านั้น แสดงว่าใน 1 ตารางกิโลเมตรมีประชากรหนาแน่นถึง 1,311 คน ประชากรมีอายุเฉลี่ย 29.5 ปี แสดงว่าส่วนมากอายุยังน้อย ในขณะที่ไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ปี ส่วนอายุขัยของประชากรอยู่ที 76.69 ปี ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 77.41 ปี
จากข้อมูลล่าสุด ขนาดเศรษฐกิจของมัลดีฟส์อยู่ที่ 10.37 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 1,289.287 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือแสดงว่าเศรษฐกิจไทยกว่ามัลดีฟส์ถึง 124.3 เท่า มัลดีฟส์มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่อปีประมาณ 19,531 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยมีรายได้ต่อหัวต่อปีประมาณ 18,460 เหรียญสหรัฐต่อปี แสดงว่าไทย “จน” กว่าเล็กน้อย
ทั้งนี้ มัลดีฟส์มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 2.9% ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 0.99% (แต่เพราะโควิด-19 ณ ไตรมาส 1/2564 ไทยมีอัตราการว่างงานสูงขึ้นเป็น 2%) อาจกล่าวได้ว่าการท่องเที่ยวมีส่วนใน GDP ประมาณ 28% ในกรณีของมัลดีฟส์ (https://bit.ly/2Vkovi8) ส่วนในขณะที่ไทยอยู่ที่ 21.9% (https://bit.ly/3AaI3V8)
ในปี 2558 รัฐสภามัลดีฟส์ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินและซื้อที่ดินในมัลดีฟส์ได้แต่ต้องเป็นที่ดินที่ 70% มาจากการถมเพิ่มที่ดินใหม่จากทะเลโดยรอบ และลงทุนเป็นเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 31,000 ล้านบาท ทั้งนี้โครงการที่จะให้ต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แต่ละโครงการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ลำพังเพียงหน่วยราชการต่างๆ ไม่สามารถที่จะ “ขายชาติ” กันเองได้ และมัลดีฟส์ก็ไม่ได้ให้ต่างชาติมาซื้อห้องชุดกันเปรอะไปหมด
จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ (https://bit.ly/3lpJJpz) พบว่า ในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมารวมกันถึง 1,702,887 คน ซึ่งนับว่าเป็นปีที่มีนักท่องเที่ยวมากันมากที่สุด แต่เมื่อเกิดโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2563 ลดลงเหลือ 555,494 คน หรือลดลงเหลือเพียง 32.6% เท่านั้น แสดงว่าเขาจัดการการท่องเที่ยวของเขาเป็นอย่างดี เพราะในปี 2563 แทบไม่น่าจะมีการท่องเที่ยวเกิดขึ้นในแทบทุกมุมโลกก็ว่าได้
สำหรับในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564 ปรากฏว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเยือนมัลดีฟส์จำนวน 336,707 คน มากกว่า 6 เดือนแรกของปี 2563 ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือน 239,126 ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าในปี 2564 น่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามัลดีฟส์ประมาณ 673,414 คนมากกว่าในปี 2563 ถึง 21%
แสดงว่าการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์กำลังดีขึ้นดีวันดีคืน ในขณะที่การท่องเที่ยวของชาวต่างชาติในไทยแทบจะเป็นศูนย์ หรือแทบไม่มีใครเข้ามาท่องเที่ยวเลย แล้วอย่างนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นคืนได้อย่างไร
ในขณะที่ไทยมีการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเพียง 3.99 ล้านคน หรือ 5.7% ของประชากรทั้งประเทศ (นับถึง 4 สิงหาคม 2564) ในขณะที่ประชากรมัลดีฟส์ฉีดครบกันแล้ว 50.5% (https://bit.ly/3lpVyfm) กรณีนี้เห็นได้ชัดเจนว่า ไทยล้าหลังว่ามัลดีฟส์มากในด้านการฉีดวัคซีน และตามสถิติทั่วโลก เขาฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มกันแล้วถึง 1,150 ล้านคน หรือ 14.8% แสดงว่าไทยยังล้าหลังกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก จึงทำให้ไวรัสโควิด-19 ยิ่งลามหนักมากขึ้นไปอีก
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามัลดีฟส์ มีข้อกำหนด (https://bit.ly/3A8ZsgU) ว่านักท่องเที่ยวต้องมีผลตรวจว่าไม่ติดโควิด-19 ที่ตรวจภายในกำหนด 72 ชั่วโมง (3 วัน) ก่อนเดินทางเข้ามัลดีฟส์ แม้ว่านักท่องเที่ยวนั้นๆ จะเคยฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มหรือเคยหายจากไวรัสโควิด-19 แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเพิ่งฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมาครบ 14 วันมาก่อนเข้าพักในมัลดีฟส์ (ยกเว้นเด็กที่ไม่ต้องฉีด) โดยต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก หรือการอาหารและยาแห่งมัลดีฟส์เท่านั้น และในกรณีที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนครบถ้วน (แต่มีใบรับรองการตรวจโควิดแล้ว) ก็สามารถเดินทางเข้ามัลดีฟส์แล้ว แต่ต้องอยู่ในที่อยู่ที่ทางการมัลดีฟส์จัดให้
และเพื่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยว 60% พนักงานดูแลห้องพักในมัลดีฟส์ ต้องได้รับวัคซีนครบแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน ยิ่งกว่านั้น 95% ของพนักงานในกิจการด้านการท่องเที่ยวทั้งหลาย ต้องได้รับวัคซีนครบแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันเช่นกัน รวมทั้งผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในสถานที่พักแรมในมัลดีฟส์ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
การมีมาตรการเช่นนี้ย่อมดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในมัลดีฟส์ได้อย่างมั่นใจในที่สุด
นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียโอกาสสำคัญในด้านการท่องเที่ยวไปในปี 2563 ที่ไทยมัวแต่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเดือนแล้วเดือนเล่า จนไม่สามารถฟื้นการท่องเที่ยวภูเก็ตได้ ทั้งที่คนไทยในขณะนั้นติดโควิดน้อยกว่าประชากรในมัลดีฟส์เสียอีก ทำให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวในภูเก็ต พังงา กระบี่หรือแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวอื่น เช่น สมุย เกาะเต่า นับเป็นการสูญเสียรายได้ไปเป็นอย่างมาก ทำให้ราคาโรงแรมที่พักต่างๆ คงต้องลดลงถึงครึ่งต่อครึ่งจึงจะหานักลงทุนมาซื้อต่อไปลงทุนในอนาคต
ในขณะนี้ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะประเทศอังกฤษ ก็จัดให้ประเทศไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อสีแดง หรือ Red List ที่ไม่แนะนำให้คนอังกฤษมาเยือน (https://bit.ly/3ynevmz) ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ขอให้พลเมืองของตน “คิดใหม่” ที่จะมาประเทศไทย (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) เขาจัดให้ไทยอยู่ในระดับที่ 3 ที่แสดงว่ามีโควิดมาก (ยังไม่ถึงระดับที่ 4 คือสูงสุด) นี่ถ้าไทยเคลื่อนไหวเปิดประเทศมาก่อนหน้านี้ ประเทศไทยก็คงไม่ลำบากขนาดนี้ และมีโอกาสที่จะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวนานาชาติก็คือการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงและรวดเร็ว ทั้งนี้อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา ก็รับรองเฉพาะวัคซีนที่สำคัญคือไฟเซอร์ โมเดอร์นา และวัคซีนจอห์นสันฯ เท่านั้น
เราจึงควรเน้นฉีด 3 ยี่ห้อนี้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประเทศอื่นๆ ไม่ใช่ไปสั่งซิโนแวก สปุตนิก หรืออื่นๆ ที่องค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุขอเมริกาและภาคพื้นยุโรปไม่รับรองอีกต่อไป เมื่อไทยได้ฉีดวัคซีนคุณภาพได้ทั่วถึง ก็ย่อมทำให้การท่องเที่ยวกลับมาได้
ฉีดวัคซีนคุณภาพให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อความมั่นใจของชาวโลกต่อการท่องเที่ยวไทย.