มุมมองการลงทุนปี 2022 “Getting back in shape”
ปี2021ที่ผ่านมาภาพเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากผลกระทบที่เกิดจากโรคระบาดครั้งใหญ่ที่เลวร้ายที่สุดในรอบร้อยปีถึงแม้ว่าการระบาดของCovid-19ยังคงอยู่แต่มีการรับมือกับการระบาดในระลอกต่างๆได้ดีขึ้น
ซึ่งเป็นผลจากการฉีดวัคซีนที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคและผ่อนคลายมาตรการทางสังคมได้มากขึ้นรวมถึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากภาครัฐและธนาคารกลางจึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ในด้านผลตอบแทนของสินทรัพย์ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วให้ผลตอบแทนที่ดี
โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปขณะที่ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงกดดันจากการควบคุมของทางการรวมถึงปัญหาได้ภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนอย่างมากและให้ผลตอบแทนที่ติดลบ
สำหรับปี2022ในมุมมองภาพใหญ่เราคาดว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวต่อเนื่อง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยพึ่งพาตัวเองมากขึ้นหรืออีกนัยคือการที่เศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนจากความต้องการของผู้บริโภคการลงทุนของภาคเอกชนและภาคการผลิตที่ยังคงเร่งผลิตเพื่อ restock สินค้าขณะที่แรงส่งจากนโยบายการเงินยังคงมีอยู่แต่ลดลงเช่นธนาคารกลางสหรัฐฯมีการลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์รายเดือนและจะยุติมาตรการQuantitative Easing (QE)ในช่วงมี.ค.และมีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากนั้น
ซึ่ง ณ ปัจจุบันนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะเห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง3ครั้ง ในปีหน้าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ40ปีซึ่งเรามองว่าเป็นความกังวลที่มากเกินไป เนื่องจากเรายังมีมุมมองว่าเงินเฟ้อระดับสูงณปัจจุบันนั้นยังเป็นเรื่องชั่วคราวมากกว่าเป็นเรื่องถาวรโดยอัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มสูงเหมือนในปีที่ผ่านมาแต่ก็จะไม่ได้ปรับลดลงไประดับต่ำเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 อย่างไรก็ตามเรามองว่าการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางและการส่งสัญญานต่อนักลงทุนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดการเงิน
มุมมองการลงทุนเรายังคงแนะนำให้ Stay invested โดยหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจมากกว่าสินทรัพย์อื่นๆแม้ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมาเช่นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำหรืออัตราผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบจะเริ่มมีความท้าทายมากขึ้นแรงส่งของการเติบโตของเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตลดลง
ทำให้เราคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้จะไม่สูงเท่ากับปีที่แล้วโดยคาดว่าจะอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยปกติแต่เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆเช่นตราสารหนี้ตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจมากเมื่อพิจารณาถึงส่วนชดเชยความเสี่ยงหรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นกับตราสารหนี้(Equity Risk Premium)ยังคงอยู่สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว เรายังคงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่าBarbell Strategyหรือการกระจายการลงทุนไปใน2กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่เน้นการเติบโตแบบคุณภาพ เช่นกลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ 2.กลุ่มการเงินเพื่อได้ประโยชน์หรือป้องกันในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร(Yield curve)มีความชันเพิ่มขึ้น ในด้านประเทศเรายังคงชื่นชอบตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วคือสหรัฐฯสวิตเซอร์แลนด์ฝรั่งเศสอิตาลีส่วนตลาดเกิดใหม่เรายังคงให้น้ำหนักกับChina A-sharesและอินเดียนอกจากนี้สิ่งสำคัญในการเลือกลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้นักลงทุนควรมองหา1.บริษัทที่ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องแม้โรคระบาดจะหมดไป2.บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวจากเงินเฟ้อที่สูงชั่วคราวและข้อจำกัดด้านอุปทาน 3.บริษัทที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นจากโรคระบาด เช่น กระแส Digitalisationซึ่งมีการเติบโตอย่างมากในช่วงการระบาดใหญ่โดยธีมการลงทุนในธุรกิจCloud computingและArtificial Intelligenceมีความน่าสนใจเนื่องจากเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อการปรับเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิตอล(Digitalisation)
ในด้านตราสารหนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากการที่ธนาคารกลางเริ่มดำเนินนโยบายที่เข้มงวดขึ้นจะทำให้มีความผันผวนในตลาดตราสารหนี้มากขึ้นจึงจำเป็นที่ต้องใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นโดยโอกาสการลงทุนจะอยู่ในหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่อยู่ระหว่างInvestment gradeกับHigh yieldรวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนนอกตลาดหรือPrivate Creditยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทั้งนี้ผู้ที่สนใจจะลงทุนควรติดต่อเพื่อสอบถามและรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อศึกษารายละเอียดและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมกับท่าน