ร่างพ.ร.บ.การจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ....มีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุง (ตอน 3)

ในตอนที่นี้ เราจะพูดถึงภาวการณ์ที่ขยะอุตสาหกรรมไปปนเปื้อนกับขยะชุมชน จะจัดการอย่างไร และวิธีคิดในการออกกฎหมายแบบใหม่ให้ทันโลก ถ้ามีกากอุตสาหกรรมมาทิ้งรวมลงในขยะชุมชน ขยะรวมนั้นจะถือว่าเป็นขยะอุตสาหกรรมหรือไม่ และใครควรเป็นผู้รับผิดชอบในการกำจัด
ในข้อ 14 ของร่างพ.ร.บ.กากฯ ฉบับนี้บ่งว่า การขนส่ง จุดแยก หรือที่พักรวมขยะชุมชน ที่อปท.รับผิดชอบอยู่นั้น หากมีกากอุตสาหกรรมปะปนเข้ามารวมอยู่ในขยะชุมชนด้วย ก็ให้ถือว่าเป็นการขนส่งหรือการรวบรวมกากอุตสาหกรรมไปตาม พ.ร.บ.นี้ของกรอ.ด้วย และจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องแจ้งรวมทั้งไม่ต้องขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) อปท.เพียงแต่ต้องแจ้ง กรอ.ให้ทราบ และให้ อปท.หรือผู้ได้รับมอบหมายนำส่งขยะรวมกากอันตรายนั้น ไปกำจัดยังที่ผู้กำจัดตาม พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมของ กรอ. โดยให้เป็นค่าใช้จ่ายของ อปท.
ประเด็นนี้ควรต้องถกกันให้ตกผลึกและเห็นพ้องร่วมกันก่อน คือ งานนี้ควรเป็นภาระหรือภารกิจของ อปท. หรือเป็นของ กรอ. และอปท.จะมีงบประมาณรวมทั้งบุคลากรเพียงพอสำหรับงานนี้หรือไม่ ถ้าประเด็นนี้ยังไม่ตกผลึกและเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในพื้นที่จริง ก็จะมีการโยนความรับผิดชอบไปมาระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกัน
จะเป็นการดีกว่าหรือไม่ที่รัฐจะกำหนดให้ กรอ.ที่มีความรู้ กำลังคน และทักษะในการจัดการสารมลพิษอุตสาหกรรมดีกว่า อปท.อย่างมาก เป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบในภารกิจนี้อย่างเบ็ดเสร็จในหน่วยงานเดียว แทนที่จะส่งต่อไปยังอปท.ที่มีอยู่หลายพันแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณและกำลังคนสำหรับการนี้ให้ กรอ.อย่างเพียงพอด้วย การจึงจะสำเร็จได้จริง
หรืออีกวิธีหนึ่งที่น่าจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายมากกว่า คือ กำหนดเป็นกฎหมาย ห้าม อปท.รับของเสียอุตสาหกรรมเข้ามาทิ้งยังสถานที่กำจัดหรือจัดการขยะชุมชนของ อปท.เอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ โรงงานที่มีของเสียอันตรายจะต้องนำส่งไปที่สถานที่รับกำจัดหรือจัดการตามกฎหมายของ กรอ.เท่านั้น จะส่งหรือแอบส่งไปที่หลุมขยะของ อปท.ไม่ได้
ความยากลำบากในการออกกฎหมาย ทำให้ไทยตามโลกไม่ทัน
เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว กรอ.ได้ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Wastes from Electric and Electronic Equipments, WEEE) นับว่าเป็นความพยายามที่น่าชมเชยแม้จะยังครอบคลุมปัญหาเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของปัญหาขยะอุตสาหกรรมทั้งหมดก็ตาม แต่น่าเสียดายที่ร่างพ.ร.บ.WEEE ดังกล่าวแม้จะใช้เวลาไปถึง 10 ปีแล้วก็ยังไม่สามารถลุล่วงออกมาได้ ทำให้ปัญหาการปนเปื้อนด้วยสารพิษ WEEE ต่อสิ่งแวดล้อมของไทยยังแก้ไม่ได้อย่างจริงจังจนบัดนี้
การต้องใช้เวลานานมากขนาดนี้ในการออกกฎหมายแต่ละฉบับ เป็นอุปสรรคใหญ่มากของประเทศไทย เพราะถ้าภาครัฐและพรรคการเมืองยังไม่ตระหนักรู้ถึงความไวในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องปัญญาประดิษฐ์ แนวคิด ESG การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ ที่ปรากฏอยู่ในแวดวงธุรกิจโลกทุกวันนี้ ไทยเราคงตามคนอื่นไม่ทันในเรื่อง SD หรือการพัฒนาที่ยั่งยืน
นักการเมืองและพรรคการเมืองจึงต้องหาความรู้ใส่ตัว และต้องทำตนเป็นตัวช่วยเร่งภารกิจแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ ให้บรรลุได้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร่งได้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอันหมายถึงการพัฒนาทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ อย่างได้ดุลยภาพกันและกันไปพร้อมกัน
คิดกว้าง คิดไกล อาจทำให้ช้า แต่ปัญหาจบ
คราวนี้ก็มาถึงคำอธิบายของเราต่อข้อกังวลที่ได้เอ่ยถึงไว้ในช่วงต้นของบทความ ร่างพ.ร.บ. WEEE ได้ใช้เวลานานเป็น 10 ปีแล้ว และก็ยังไม่ผ่านจนบัดนี้ จึงทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะใช้เวลาอีกนานมาก กว่าจะได้รับความเห็นชอบ (ถ้าได้รับความเห็นชอบ)
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราสองคนก็ยังอยากจะเสนอแนะสิ่งที่อาจดูว่ายิ่งยากขึ้นไปอีก คือ จะเสนอให้แก้ไขกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม (กอ.) และ กรอ.ในภาพรวมแบบถอนรากถอนโคน โดยให้ครอบคลุมภาพใหญ่ของของเสียอุตสาหกรรม ที่กว้างไกลและก้าวหน้ากว่าที่เคยทำๆกันมา คือทำแบบชนิดที่เรียกว่า ทำแล้วจบในคราวเดียว โดยให้รวมทั้งของเสียที่เป็นของแข็ง ของเหลวและแก๊สไปพร้อมกัน ซึ่งแน่นอนที่จะต้องเสียเวลามากกว่าเดิมมาก เพราะเท่ากับต้องไปเริ่มต้นใหม่หมด
แต่ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถแก้ปัญหามลพิษจากภาคอุตสาหกรรมอย่างบูรณาการได้หมดจดและเบ็ดเสร็จในคราวเดียว ซึ่งดีกับบ้านเมืองมากกว่าการที่จะแยกออกเป็น พ.ร.บ.ทีละเรื่องๆ ที่ไม่บูรณาการกันอย่างที่ทำกันอยู่ตลอดมา และจะใช้เวลาในการออกกฎหมายมากกว่าที่เสนอใหม่นี้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ทำจะมีความผิดตามมาตรา 157 หรือไม่
เราสองคนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่โดยสามัญสำนึกส่วนตัวของเรา เราคิดว่าถ้ากอ.และกรอ.ไม่จัดการปัญหามลพิษอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ ให้ครอบคลุมให้ครบประเด็นดังที่เราได้กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด กอ.และกรอ.ก็จะไม่สามารถดูแลปัญหาพวกนั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จและอาจก่อให้เกิดปัญหารุนแรงแก่ชุมชนในวงแคบและสังคมในวงกว้าง จึงอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายตามมาตรา 157 ในฐานะที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์ ตามขอบข่ายความรับผิดชอบที่ต้องมี
เราจึงอยากเสนอให้ กอ.และ กรอ. รวมทั้งภาควิชาการ ตลอดจนภาคประชาสังคม นำประเด็นนี้มาพิจารณาร่วมกันแต่เนิ่นๆ และหาคำตอบเพื่อเตรียมตัวให้ถูกต้องเสียตั้งแต่บัดนี้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สายเกินแก้
น่าจะเลิกได้แล้ว การออกกฎหมายแบบเป็นแท่ง ที่ไม่บูรณาการข้ามกรมกระทรวง
อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะเสนอ คือ หน่วยงานรัฐไม่ควรจะพิจารณากฎหมายแบบเป็นแท่งในแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะสังคมไทยได้รู้มาตลอดว่าวิธีนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ รัฐควรจะบูรณาการกฎหมายของ กอ. และ กรอ.ไปกับกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และอื่นๆ ไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความรอบคอบและครอบคลุมเบ็ดเสร็จไปในตัวทีเดียว
เราไม่ใช่นักกฎหมาย จึงไม่ทราบว่าขอเสนอนี้ทำได้ไหม แต่เราคิดในเชิงนักวิชาการที่สนใจประเด็นทางสังคม ว่าหากรัฐติดปัญหาที่ตัวหนังสือในกฎหมาย รัฐก็ควรจะต้องหาทางแก้ตัวหนังสือนั้นเพื่อให้ทำให้ได้ เพราะมันเป็นแนวคิดใหม่ของโลกสมัยนี้ที่ไม่ทำตามนั้น ไม่ได้แล้ว
(หมายเหตุ : นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตน ไม่ใช่ของหน่วยงานต้นสังกัด)
หมายเหตุจากกองบรรณาธิการ...กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ....ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.thและเว็บไซต์ กรอ. (http://php.diw.go.th/rubfung/show.php)ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม-1 เมษายน 2568 ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปสามารถศึกษาข้อมูล และส่งความคิดเห็นได้ผ่านทางสองช่องทางดังกล่าว