ตลาดสหรัฐบวกแรงแต่กระจุกตัว แนะนำกระจายพอร์ตให้สมดุล
ปรากฎการณ์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงคือการที่ ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ตั้งแต่ต้นปี (YTD) บวกไปแรงถึง 13.46% และ 29.60% (ณ 12 มิ.ย. 66) ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอ เฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปถึงจุดสูงสุด
แต่ดัชนี S&P 500 สามารถปรับเพิ่มขึ้นถึง 20% จากต่ำสุดในเดือนต.ค.นับเป็นการเข้าสู่ Bull Market (ตลาดกระทิง) กองทุนและนักลงทุนจำนวนมากไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า จึงไม่ได้จัดพอร์ตโฟลิโอเตรียมรับผลประโยชน์ไว้
สาเหตุที่ดัชนีพลิกกลับมาได้เร็วขนาดนี้เป็นเพราะการเคลื่อนไหวจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ 7 บริษัท ซึ่งมีน้ำหนักในดัชนี S&P500 สูง ได้แก่ Alphabet, Amazon.com, Apple, Meta Platforms, Microsoft, NVIDIA, และ Tesla ที่ปรับขึ้นไปแล้วโดยเฉลี่ย 85% YTD โดยเฉพาะหุ้น 5 ใน 7 ตัวนี้ มีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 25% ของมูลค่าตลาดรวมของดัชนี S&P500 ที่มีมูลค่าตลาดรวม 36.78 ล้านล้านดอลลาร์
ยกตัวอย่างเช่นหุ้น NVIDIA ณ ปัจจุบัน Forward P/E 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 45 เท่า นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ 18.35 เท่า สะท้อนว่า Valuations ปรับขึ้นมาสูงมากๆแล้ว
อีกหลักฐานที่ชัดเจนมาก คือถ้าเรานำแค่ผลตอบแทนของหุ้น 7 ตัวนี้มาดูจากดัชนี S&P 500 ที่บวกขึ้นมา 13.46% YTD 80% ของผลตอบแทนมาจากหุ้น 7 ตัวนี้เท่านั้น อีก 20% มาจากหุ้น 496 ตัวที่เหลือในดัชนี ดังนั้น ถ้าไม่รวมหุ้นกลุ่มภาคเทคโนโลยี ดัชนี S&P500 จะปรับขึ้นมาเพียง 5.12% YTD เท่านั้น สะท้อนความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ระหว่างกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและกลุ่มที่ไม่ใช่เทคโนโลยี
และถ้าเราไปดูหุ้นที่เอาชนะดัชนี S&P 500 ได้ตั้งแต่ต้นปีนี้มีเพียงแค่ 24.5% เท่านั้น และถ้าเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งปี เท่ากับว่าปีนี้จะมีจำนวนหุ้นที่เอาชนะดัชนี S&P500 อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี แสดงให้เห็นว่าตลาดสหรัฐถูกขับเคลื่อนด้วยหุ้นเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
ถามว่าทำอยู่ดีๆ ทำไมหุ้นกลุ่มนี้ได้รับความน่าสนใจขึ้นมา นั่นเป็นเพราะว่า หุ้นพวกนี้มีธุรกิจบางอย่างที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังซึ่งกำลังได้รับความสนใจ นักลงทุนเลยเข้าไปซื้อหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ AI จนดันราคาขึ้นไปมากอย่างที่เห็น
อีกปัจจัยคือ FED ขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้เป็นรอบที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีและขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องมา 15 เดือน ตลาดคาดว่าใกล้จบรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่ม Tech ซึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นเมื่อมีเรื่อง AI กับ FED จึงดันหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นไป
อย่างไรก็ดีตลาดคาดว่าสำหรับดัชนี S&P500 ซึ่งรวมหุ้น 503 ตัว กำไรต่อหุ้น (EPS) จะติดลบ 1.76% ขณะที่ดัชนี NASDAQ คาดว่า EPS จะเติบโตเพียง 4.53% สำหรับปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วดังนั้นจะเห็นได้ว่า การเติบโตของ EPS กับ ผลตอบแทน YTD ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ถ้าดูปีหน้าตลาดคาดว่า EPS ของดัชนี S&P500 และ NASDAQ จะกลับมาโตในระดับที่ดีได้ที่ 7.92% และ 27.66% ตามลำดับ
นักลงทุนหลายท่านถามข้ามาว่าควรขายหุ้นในจีนและประเทศอื่นๆ แล้วไปซื้อหุ้น Tech ในสหรัฐไหม เราขอเตือนนักลงทุนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ด้วยหุ้นเพียงแค่ 7 ตัวนี้ จึงน่าจะเกิด Scenario ต่อไปนี้ขึ้น
Scenario 1. หุ้น 7 ตัว ที่ผลักดันตลาดให้สูงขึ้นตั้งแต่ต้นปีจะเริ่มนิ่งๆ หรือฉุดดัชนี้ลง
Scenario 2. จากเดิมการปรับขึ้นที่กระจุกอยู่ใน หุ้นเพียง 7 ตัว จะเริ่มกระจายไปหุ้นใน Sector อื่นๆ เช่น การเงิน, ดูแลสุขภาพ, ขายปลีก เป็นต้น
เราไม่แนะนำให้นักลงทุนทำ Market-Timing หรือคาดการณ์จุดเข้าจุดออก หรือดูว่าจะขึ้นไปได้อีกเยอะไหม เพราะเราไม่ทางรู้ได้ ว่าหุ้นพวกนี้จะกลับหัวเมื่อไหร่ ดังนั้น เราแนะนำให้ลงทุนโดยกระจายการลงทุนอย่างมีวินัย
เราขอแนะนำกองทุน KT-GESG เป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นทั่วโลก โดย 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก Schroder มีผลตอบแทนสูงถึง 15.34% ต่อปี สูงกว่า S&P500 ที่อยู่ประมาณ 12% จุดเด่นของกองทุนนี้สามารถลงทุนหุ้นได้ทั่วโลก เช่น ตลาดสหราชอาณาจักรและยุโรป เพื่อให้กองทุนสามารถมีความยืดหยุ่นในการลงทุน ลงหุ้น 30-40 ตัว ซึ่งไม่มากจนเกินไปจุดไหนแพงก็สามารถย้ายไปลงทุนจุดที่ถูกได้
อีกกองที่เราก็ชอบคือกองทุน TMB-USBLUECHIP ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Tech เช่นกัน และมีการ Overweight หุ้นกลุ่มนี้คิดเป็น 37.72% ของกองทุน (เทียบกับ S&P500 ที่มีน้ำหนัก 26.08% ในกลุ่ม Tech แต่ต่ำกว่าน้ำหนักของดัชนี NASDAQ ที่มี 58.75%) กองทุนนี้ยังกระจายการลงทุน ในกลุ่มสุขภาพและการเงินอยู่รวมกันที่ 28.2% ของกองทุน ดังนั้นถ้ามองไปข้างหน้าตลาดไม่ได้สร้างผลตอบแทนโดยกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่ม Tech กลุ่มเดียวก็นับได้ว่ากองทุนนี้ยังคงได้รับประโยชน์อยู่