โลกที่เปลี่ยนไป
เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ขึ้นในปลายปี 2019 และสถานการณ์แย่มากๆก่อนที่จะมีการผลิตวัคซีนออกมา ดิฉันบอกกับคนข้างเคียงว่า “ช่วงที่ดีที่สุดของโลกในช่วงชีวิตของเราได้ผ่านไปแล้ว”
มองไปข้างหน้า การติดต่อสื่อสาร การคมนาคม การเปิดใจเปิดประเทศ การแสวงหาความร่วมมือจากชาติต่างๆเพื่อช่วยกันพิทักษ์ปกป้องโลก เพื่อช่วยกันทำให้โลกสวยและสภาพแวดล้อมคงสภาพที่ดีและสวยงามให้ยืนยาว ซึ่งเป็นความหวังและความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นใหม่ ได้ถูกจำกัดด้วยนโยบายความมั่นคงของทุกประเทศ
ประเทศและรัฐต่างๆ ต่างก็ทบทวนความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของตนเอง และพยายามอุดช่องโหว่ และสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้น เช่น ความมั่นคงของอาหาร ความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ความมั่นคงของรายได้ ความมั่นคงของทรัพยากร ซึ่งรวมถึงทรัพยากรมนุษย์ และที่ไม่พูดออกมาตรงๆแต่กระทำตามสัญชาตญาณ คือ ความมั่นคงของเผ่าพันธุ์ตนเอง
การแสวงหาความมั่นคงต่างๆเหล่านี้ เป็นความมั่นคงในความนึกคิดของผู้แสวงหา ซึ่งเมื่อนำโจทย์ของทุกประเทศทุกรัฐมารวมกันแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ย่อมต้องมีการทับซ้อนกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดแนวคิด หรือการกระทำ 5 ด้านใหญ่ๆคือ 1. การปกป้องทรัพยากรสำคัญที่มีอยู่ 2. การทวงคืนทรัพยากรที่เคยมี 3. การไปแสวงหาทรัพยากรสำคัญที่ยังไม่มี 4. การกำจัดทรัพยากรที่ไม่ต้องการ(รวมถึงคนด้วย) และ 5. การหาแนวร่วมมาช่วยสนับสนุนแนวคิดหรือการกระทำของตนเอง เพื่อให้มีความชอบธรรมมากขึ้น
การกระทำทั้ง 5 ด้านนี้เอง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในโลกนี้ และผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพิ่งพูดกับดิฉันในสัปดาห์ที่แล้วว่า สันติสุขเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่มีการ “ให้อภัย”
ไม่มีใครสองคนในโลกที่มีความคิดเห็นในทุกเรื่องเหมือนกัน 100% และเชื่อว่าไม่มีใครหรือครอบครัวใดไม่มีตำหนิเลยตั้งแต่บรรพบุรุษเกิดมาในโลกสมัยใหม่เมื่อ 200,000 ปีมาแล้ว (หรืออาจนานกว่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีการค้นพบฟอสซิลอายุระหว่าง 300,000-350,000 ปี) ดังนั้น ไม่ว่าจะจับจุดไหน ก็น่าจะมีบรรพบุรุษของชาติที่ไปรุกรานผู้อื่น หรือมีผู้อื่นรุกรานเรา
หากไม่มีการให้อภัย และเริ่มความสัมพันธ์กันใหม่ในโลกปัจจุบัน คนทุกชาติทุกกลุ่ม ก็จะหาเหตุผลที่จะรุกรานเพื่อหาทรัพยากรใหม่ หรือทวงคืนทรัพยากรในอดีต กันได้ทั้งสิ้น
ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ ดิฉันอยากให้ท่านผู้อ่านใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตด้วยความระมัดระวัง ยิ่งหากท่านเป็นผู้นำองค์กร หรือผู้นำประเทศ ท่านต้องเพิ่มความรอบคอบในนโยบาย ในการกระทำ และในคำพูดและการแสดงออก
“ไทยนี้รักสงบ” เป็นคำสัญญาที่เราย้ำเตือนกันวันจะสองครั้งในช่วงเคารพธงชาติ การรักสงบ ความเป็นกลาง และการไม่เลือกข้าง จะนำพาประเทศสู่สันติภาพ และการมีสันติภาพจะเป็นคำตอบเดียวของความยั่งยืนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง การน้อมนำพระพุทธธรรมมาใช้เป็นหลักในการดำเนินนโยบาย น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุด
การเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ น่าจะเป็นการมาถูกทาง อาหารและสุขภาพจะดึงดูดผู้รักความสงบมาเยือน
ในด้านการลงทุน อยากให้ท่านเพิ่มความระมัดระวังในการจัดพอร์ตลงทุนเพิ่มเติม เราไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า แต่การกระจายการลงทุน และจัดพอร์ตแบบผสมผสานมีตราสารหนี้ประเภทที่เสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีความมั่นคง เงินฝาก ในสัดส่วนที่สูงกว่าปกติ และหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูงในยามมีความไม่แน่นอน ท่านก็อาจจะมีติดอยู่ในพอร์ตบ้าง แต่เนื่องจากตอนนี้ราคาสูงขึ้นมาก ถ้าเป็นราคาทองคำในรูปเงินบาทก็ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว หากท่านจะรอดูสถานการณ์ก่อน และรอราคาอ่อนตัวจึงค่อยเข้าไปลงทุนก็อาจจะเหมาะสมกว่า หากท่านมีการลงทุนอยู่แล้ว ก็อาจจะไม่ต้องซื้อเพิ่ม และอาจจะรอขายทำกำไรเมื่อราคาสูงขึ้นค่ะ
พอร์ตควรมีสภาพคล่องพอสมควร เพื่อสามารถเข้าไปซื้อสินทรัพย์เวลาคนตกใจขายออกมาได้ และผลตอบแทนของการลงทุนระยะสั้น เช่น ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills) ได้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ เราก็สามารถขายเพื่อนำเงินไปลงทุนได้
หากประเทศไทยดำเนินนโยบายได้ดี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลับมาด้วย เพราะใครๆก็อยากมาอยู่ในประเทศที่สงบ มีค่าครองชีพไม่สูง ผู้คนมีจิตใจดี อากาศสบาย ไม่หนาวจัด ไม่ร้อนจัด ข้อสำคัญ คือ อาหารอร่อยมาก และมีอาหารของทุกประเทศให้เลือกรับประทาน และการบริการด้านสุขภาพดีเยี่ยม ที่สำคัญ เราต้องทำบ้านเมืองให้ปลอดภัยค่ะ
เห็นตัวอย่างจากเกษตรกรที่ไปทำงานในอิสราเอล หลายท่านได้เรียนรู้การทำเกษตรแบบใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัวได้
อยากให้เกษตรกรของไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินค้าเกษตรได้แบบญี่ปุ่น และเกษตรกรของเราจะได้มีความมั่งคั่ง และมั่นคง หากสินค้าได้มาตรฐาน การประกันราคาอาจสามารถช่วยได้นะคะ ที่สำคัญ สหกรณ์การเกษตรของเรา ควรจะเข้ามามีบทบาทที่มากกว่านี้ ลองเอาตัวอย่างของญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ไหมคะ
พื้นที่จะหมดแล้ว วันนี้อยากสรุปว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และปัจจุบันสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกตึงเครียดมาก พอร์ตการลงทุนจึงจำเป็นต้องทยอยลดความเสี่ยง และมีการปรับพอร์ตให้ทันกับสถานการณ์มากขึ้นค่ะ
อย่างไรก็ดี ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ประเทศไทยมีโอกาสดีที่จะเป็นแหล่งพักพิงของผู้รักความสงบและสันติภาพ ขอให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวังเท่านั้นค่ะ