การเมือง “อินเดีย” เปลี่ยน ถึงเวลาก้าวสู่ยุคใหม่ของรัฐบาลผสมและโอกาสทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจอินเดีย อีกปัจจัยที่ BJP ต้องรับมือ เนื่องจากการหาเสียงของพรรค BJP ที่เน้นไปที่การปฏิรูปฝั่งอุปทาน ไม่สามารถดึงดูดความสนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กังวลกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพที่สูง และปัญหาการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี ที่สูงถึง 17%
การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียครั้งล่าสุด ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อบรรยากาศทางการเมือง เมื่อพรรค Bharatiya Janata Party (BJP) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi (Modi) ได้สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ การไม่มีเสียงข้างมากนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความท้าทายในการบริหารประเทศ แต่เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับเศรษฐกิจและการลงทุนของอินเดียอีกด้วย การมีส่วนร่วมของพรรคการเมืองต่างๆ ในรัฐบาลผสมอาจนำไปสู่การตัดสินใจและการดำเนินนโยบายที่หลากหลาย ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหลากหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้ ถือเป็นการเปิดบริบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับอินเดีย
ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของอินเดียแสดงให้เห็นถึงความท้าทาย และโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญ แม้กลุ่มพันธมิตร National Democratic Alliance (NDA) ที่นำโดย BJP จะได้เสียงข้างมากในฐานะกลุ่ม แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดี่ยวได้ ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะการบริหารรัฐบาลผสมต้องอาศัยความสามารถในการเจรจาต่อรองอย่างสูง และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรอีกด้วย ในด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ BJP ต้องรับมือ เนื่องจากการหาเสียงของพรรค BJP ที่เน้นไปที่การปฏิรูปฝั่งอุปทาน (Supply Side Reform) ไม่สามารถดึงดูดความสนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กังวลกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพที่สูง และปัญหาการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี ที่สูงถึงร้อยละ 17
โดยในช่วงปี 2565-2566 มีการว่างงานในกลุ่มเยาวชนสูงกว่าอัตราการว่างงานทั่วไปที่ร้อยละ 6.7 ซึ่งฝ่ายค้านได้เน้นถึงปัญหาเหล่านี้ และชี้ให้เห็นถึงการกระจายตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่การบริหารด้วยรัฐบาลแบบผสม อาจนำไปสู่การดำเนินนโยบายที่มีความสมดุลและครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ และแม้ว่า รัฐบาลใหม่ที่คาดไว้ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจต่อไป แต่ก็ยังจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการปฏิรูปด้านกฎหมายแรงงานและที่ดินที่จำเป็นสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการปฏิรูปนี้แม้อาจจะต้องใช้เวลาที่มากขึ้น แต่มีโอกาสที่จะนำไปสู่นโยบายที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าผลประโยชน์จากการเติบโตนี้จะเข้าถึงประชาชนในทุกกลุ่มได้อย่างเท่าเทียม
แม้การเลือกตั้งในอินเดียจะสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น และทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นอินเดียช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อสถานการณ์การเลือกตั้งชัดเจนขึ้น กระแสเงินทุนต่างชาติก็เริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียอีกครั้ง การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Real GDP) ของอินเดียจะเติบโตมากกว่า 6% ทุกปี โดยระหว่างปี 2567-2571 จะได้รับแรงหนุนจากวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี Modi ที่ต้องการทำให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก และข้อได้เปรียบในเรื่องของโครงสร้างประชากร
โดยกว่า 40% ของประชากรมีอายุต่ำกว่า 25 ปี รวมถึงตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ ซึ่งจากรายงานของ BMI คาดว่าภายในปี 2570 อินเดียจะมีตลาดผู้บริโภคใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และการใช้จ่ายครัวเรือนต่อหัวจะเติบโตที่ประมาณร้อยละ 7.8 ต่อปี ทำให้เกิดการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของรายได้ประชากรจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดย Goldman Sachs คาดว่าภายในปี 2570 ชาวอินเดียกว่า 100 ล้านคนจะมีรายได้เกิน 10,000 เหรียญฯ ต่อคนต่อปี ส่งผลให้ชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และเกิดกลุ่มผู้บริโภคสินค้าระดับพรีเมียมขึ้นมาใหม่
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีมีการเติบโตอย่างมาก จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น และการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่แพร่หลายจากการนำระบบการชำระเงิน Unified Payment Interface (UPI) มาใช้ โดยปี 2567 อินเดียบันทึกการทำธุรกรรม UPI จำนวน 1.31 แสนล้านครั้ง รวมมูลค่า 200 ล้านล้านรูปี เพิ่มขึ้นจาก 8.4 หมื่นล้านครั้ง มูลค่า 139 ล้านล้านรูปีในปี 2566 ส่งผลให้อินเดียมีการเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลที่นำหน้าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีสัดส่วนวิธีการชำระเงินที่เพิ่มขึ้นจาก 20.4% ในปี 2561 เป็น 58.1% ในปี 2566 จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการดำเนินนโยบายการใช้จ่ายแบบประชานิยมกับการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาความมั่นคงทางการคลัง และความน่าดึงดูดใจในการลงทุนระยะยาว
เมื่อเปรียบเทียบกับจีนแล้ว “อินเดีย” มีศักยภาพในการเติบโตที่น่าสนใจในระยะข้างหน้า กล่าวคือ จีนเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2513 ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตและระยะเวลาของการขนส่ง ส่งเสริมการขยายตัวของโรงงานและอุตสาหกรรมใหม่ๆ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้อินเดีย มีแผนลงทุน 143 ล้านล้านรูปีภายในปี 2573 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มการพัฒนาเมือง โดยปัจจุบันมีประชากรอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองเพียง 36% เมื่อเทียบกับจีนที่ระดับ 64% ดังนั้น การพัฒนาเมืองในอินเดียคาดว่าจะเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสในการจ้างงานมากขึ้น
ผลการเลือกตั้งล่าสุดของอินเดียได้นำมาซึ่งรัฐบาลผสมที่นำโดย BJP ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งในด้านการเมือง และเศรษฐกิจ แม้จะมีความไม่แน่นอนในระยะสั้นและการไหลออกของเงินทุนต่างชาติชั่วคราว แต่การมีรัฐบาลที่ชัดเจนจะสามารถดึงดูดการลงทุนกลับมาได้ โดยเศรษฐกิจของอินเดียยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมระดับโลก และโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น อย่างไรก็ดี นโยบายสาธารณะแบบประชานิยม และการปฏิรูปเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความมั่นคงทางการคลัง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กำลังจับตามองการบริหารจัดการของรัฐบาล Modi โดยเฉพาะการสร้างความสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของพรรคพันธมิตรกับการปฏิรูปเศรษฐกิจที่จำเป็น ทั้งนี้ เพื่อรักษาตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของอินเดียในเวทีโลก และทำให้อินเดียเป็นจุดหมายที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกมากยิ่งขึ้น