มุมมองการลงทุนเดือนมกราคม 2568

มุมมองการลงทุนเดือนมกราคม 2568

ปี 68 แนวโน้มเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อย การชะลอตัวของราคาที่อยู่อาศัย และการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มตลาดพันธบัตร แม้ว่าในระยะสั้นราคาพันธบัตรอาจผันผวนและถูกกดดันจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่ยังมองว่าพันธบัตรยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น 

ในเดือนธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ดัชนี MSCI All-Country World Equity แกว่งตัวผันผวน และลดลง 2.5% เนื่องจากมูลค่าตลาดที่อยู่ในระดับสูงทำให้นักลงทุนยังคงระมัดระวังในการลงทุน สำหรับแนวโน้มในปี 2568 ทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองต่อสินทรัพย์แต่ละประเภท ดังนี้

มุมมองการลงทุนเดือนมกราคม 2568

ตลาดพันธบัตรสหรฐั ฯ ผันผวนในปี 2567: ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4.74% ในช่วงต้นปี 2567 ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ก่อนจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.62% จากตัวเลข CPI ที่เริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงกลางปี อย่างไรก็ตามยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรฐัฯ อายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งสู่ระดับ 4.6% หลังชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของ ทรัมป์ที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (ข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่าความกังวลดังกล่าวอาจเกินจริง)

สำหรับแนวโน้มในปี 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อย, การชะลอตัวของราคาที่อยู่อาศัย และการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มตลาดพันธบัตร แม้ว่าในระยะสั้นราคาพันธบัตรอาจผันผวนและถูกกดดันจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค.2568 แต่เรายังมองว่าพันธบัตรยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น 

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 1.1% ในปี 2567 จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด: สำหรับเดือนม.ค. 2568 ตลาดหุ้นไทยอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัว ของเศรษฐกิจโลก, หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง NPL ที่เพิ่มขึ้น และความขัดแย้งด้านภูมิรฐัศาสตร์ อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกที่อาจช่วยหนุนดัชนี SET ได้แก่ การคาดการณ์การเติบโตของ GDP (3.6% YoY ในไตรมาส 4 ปี 2567 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่, การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งจากเฟด และธปท. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตของกำไรบริษัทจด ทะเบียน (คาดการณ์ว่าจะเติบโต 39% YoY ในไตรมาส 4/24) ซึ่งอาจช่วยหนุนดัชนี SET ไม่ให้ลงไปต่ำกว่า 1,300 จุด ในช่วงต้นปี 2025 

ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้น 12.2% ในปี 2566 และ 12.1% ในปี 2567: ตลาดหุ้นเวียดนามอาจมีความผันผวนในช่วงต้นปี 2568 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการส่งออกและการอ่อนค่าของสกุลเงินดอง อย่างไรก็ตามแนวโน้มระยะยาวยังคงสดใส โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ การปฏิรูปตลาดทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามอาจได้รับการปรับสถานะจาก FTSE ในเดือน ก.ย. 2568 (ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนต่างชาติทั้งกองทุนที่ลงทุนแบบ Passive และ Active จำนวน 4-6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และความมุ่งมั่นของรฐับาลเวียดนามในการผลักดันการเติบโต GDP ให้ถึง 8% ผ่านการลงทุนภาครัฐ 

ตลาดหุ้นจีนน่าจะยังคงผันผวนต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 2568: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรฐั ฯ และจีน จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดในระยะสั้น อีกทั้งตัวชี้วัดเศรษฐกิจบางตัว ส่งสัญญาณลบ เช่น การเติบโตของยอดค้าปลีกที่ชะลอตัวลงเหลือ 0.16% MoM ในเดือน พ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. ส่วนการจ้างงาน (ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ PMI) ได้ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน โดยเฉพาะในภาคการผลิตสินค้าลงทุนและสินค้าขั้นกลาง นอกจากนี้ความกดดันด้านราคายิ่งทำให้ความกังวลมากขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าผู้ผลิตจะขยายปริมาณสินค้าคงคลัง แต่ดูเหมือนว่าจะมาจากการกักตุนสินค้าเพื่อป้องกัน ความผันผวนจากความขัดแย้งทางการค้าในอนาคตมากกว่าที่จะสะท้อนความเชื่อมั่นในอุปสงค์ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลอาจประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ในเดือนมี.ค. 

ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 23.3% ในปี 2567 จากผลประกอบการบรัษิทที่ปรับตัวดีขึ้น: อย่างไรก็ตามในปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยระดับมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ในโซนตึงตัว ดังจะเห็นได้จากการที่ Forward PE ของ S&P500 มี premium สูงกว่าดัชนี MSCI ACWI ex.US มากที่สุดตั้งแต่ปี 2544 อีกทั้ง equity risk premium ที่อยู่ในระดับต่ามากจนใกล้ 0 basis points ขณะที่การเติบโตของกำไรที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 15% อาจเป็นตัวเลขที่สูงเกินไป เนื่องจากดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจยังสะท้อนสัญญาณเชิงลบ โดย Conference Board Leading Economic Indicator ชะลอตัวลงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยปรับลดลง 1.6% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐที่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Magnificent 7 นั้นมีเสี่ยงต่อการปรับฐาน หากผลประกอบการในปี 2568 ของบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดหวัง นอกจากกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว หลายเซกเตอร์ที่ตลาดคาดว่ารายได้จะเติบโตในปี 256