AIS วิเคราะห์เทรนด์ 2025 : เมื่อ GenAI และ Quantum Computing ปฏิวัติโลก
ปี 2025 ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสำคัญของเทคโนโลยีที่ผลักดันทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่ Generative AI ที่กลายเป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพ ไปจนถึง Quantum Computing ที่กำลังสร้างนิยามใหม่ให้กับการคำนวณระดับโลก
AIS ฉายภาพผ่านเลนส์มุมมองต่อความก้าวหน้าและความท้าทายที่เทคโนโลยีเหล่านี้นำมาสู่สังคมในหลากหลายมิติ เพื่อให้ธุรกิจรวมถึงผู้บริโภคอย่างเราๆสามารถปรับตัวไปกับเทคโนโลยีต่างๆ ผ่านบริบท "Make everything with love"
GenAI "ของมันต้องมี" แต่แลกมาด้วยต้นทุนที่สูง
ปัญญาประดิษฐ์ AI โดยเฉพาะ Generative AI ยังคงครองตำแหน่งเทคโนโลยี "ต้องมี" สำหรับธุรกิจและชีวิตประจำวัน ด้วยความสามารถที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) เช่น การเขียนเนื้อหา สร้างภาพ หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก แต่กระแสนี้ไม่ได้มาฟรี เพราะทุกครั้งที่ Generative AI ถูกใช้งาน มันต้องอาศัยพลังงานมหาศาล ตัวอย่างเช่น การถาม-ตอบกับ Generative AI หนึ่งครั้ง ใช้พลังงานไฟฟ้า 50 Wh เทียบเท่ากับการชาร์จโทรศัพท์มือถือเต็มถึง 3-4 ครั้ง และจะต้องสูญเสียน้ำสะอาดสำหรับระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูลถึง 6 ช้อนโต๊ะ
แม้ฟังดูเล็กน้อยในระดับบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงผู้ใช้งาน AI อย่าง ChatGPT ที่มีมากกว่า 300 ล้านคนต่อสัปดาห์ ผลกระทบต่อทรัพยากรโลกย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน Generative AI ยังสร้างแรงกดดันต่อปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital Divide) โดยเฉพาะในประเทศที่ทรัพยากรขาดแคลน ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการประท้วงในหลายพื้นที่ เช่น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐ ชิลี และเม็กซิโก
Quantum Computing พลังคำนวณก้าวกระโดด
ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา Google ประกาศความสำเร็จในการพัฒนา Quantum Chip ซึ่งสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี ในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งหากให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในสถาปัตยกรรมปัจจุบันจะใช้เวลาถึง 10,000,000,000,000,000,000,000,000 ปี (จักรวาลมีอายุแค่ 13,787,000,000 ปี)
แม้จะยังไม่พร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์ แต่ศักยภาพนี้แสดงถึงอนาคตของการประมวลผลข้อมูลและการพัฒนา AI ที่ล้ำหน้า Quantum Computing ไม่เพียงแต่ช่วยสร้าง AI ที่ฉลาดและรวดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยปลดล็อกความลับทางฟิสิกส์เพื่อค้นหาแหล่งพลังงานใหม่และวัสดุที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การผสานพลังของ AI และ Quantum Computing เปิดโอกาสใหม่ในหลากหลายสาขา เช่น การพัฒนายารักษาโรคและวัคซีน การค้นหาทรัพยากรธรรมชาติ และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวางแผนเชิงกลยุทธ์
คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดในช่วง 2025-2027
AI application เป็นสาเหตุหลักที่ tech giant ทั้งหลายสนใจที่จะกระจายการตั้งดาต้า เซ็นเตอร์ ออกไปมากขึ้น และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของจุดที่ไม่หวนกลับ (Point of No Return) ของการพัฒนา AI application เท่านั้น พลังงานที่ถูกใช้ในการสอนและการเข้าใช้ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนไม่สามารถจะรวมศูนย์ได้ ส่วนการกระจายศูนย์ไปถึงระดับการกระจายตัวของหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า 5G Multi-access Edge Computing (5G MEC) ได้หรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงจากภาคประชาชนที่เกิดจากการเบียดบังทรัพยากรที่สำคัญรวมถึงน้ำสะอาด แหล่งพลังงานจาก fossil จะถูกท้าทายด้วยพลังงานที่สะอาดกว่าอย่างนิวเคลียร์ และ renewable energy อื่นๆ ดังนั้น ผู้ให้บริการ AI ที่เน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและสะอาดน่าจะเป็นจุดขายใหม่ได้
ความท้าทายของ AI ข้อมูลและพลังงานคือหัวใจ
การพัฒนา AI ต่อไปให้ฉลาดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ต้องพึ่งพาข้อมูลที่มีคุณภาพสูง และการใช้พลังงานที่ยั่งยืน โดยข้อมูลหนึ่งในปัญหาหลักของ GenAI คือ "การด้นสด" (Hallucination) ซึ่งมักนำไปสู่ข้อผิดพลาด การพัฒนาข้อมูลจากเซนเซอร์และอุปกรณ์ IoT จึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ คาดว่าภายในปี 2025 จะมีอุปกรณ์ IoT มากถึง 75,000 ล้านชิ้น ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงของเล่นเด็ก โดยข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้ AI ฉลาดขึ้นและแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด เนื่องจากศูนย์ข้อมูลในอนาคตต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานนิวเคลียร์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาระบบ 5G MEC (Multi-access Edge Computing) จะช่วยกระจายศูนย์ประมวลผล ลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการมาของ LLM- Large Language Models รวมไปถึงอุปกรณ์ที่รับภาพและเสียงเป็น input อย่าง Apple Vision Pro หรือ Google Glass จะทำให้วิธีการที่เราป้อน (สอน) และสั่งงาน AI นำเราไปสู่ประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
Metaverse และ Blockchain ความจริงในโลกเสมือน
แม้ Metaverse จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การพัฒนาอุปกรณ์อย่าง Google Glass และ Apple Vision Pro กำลังเสริมสร้างประสบการณ์เสมือนจริงที่เชื่อมต่อกับโลกจริง (Augmented Reality) Quantum Computing จะเข้ามายกระดับความปลอดภัยใน Metaverse โดยการผสานเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อมูลและธุรกรรม
ความฝันที่จะให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับ application บนโลกเสมือน (virtual reality) ยังคงมีความท้าทายแม้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ได้ถูกพัฒนาให้มีขนาดและน้ำหนักที่เบาลง ภาพจินตนาการที่เป็นไปได้คือการเสริมให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับโลกจริง (augmented reality) ในประสบการณ์ที่เหนือชั้นมาก ก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้การใช้ Blockchain ที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความเป็น "ของจริง" ในโลก Metaverse นั้นถูกกลับมาพิจารณากันใหม่
จุดที่ไม่มีวันหวนกลับ AI ในยุค Agentic
AI กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งเป็นยุคที่ 3 ของ AI ซึ่งสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่การคิดวิเคราะห์ การสนทนา ไปจนถึงการตัดสินใจอย่างอิสระ การแข่งขันในตลาด AI กำลังดุเดือด และบริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวหรือพัฒนา AI ได้ทัน จะเสี่ยงต่อความล้มเหลวอย่างราบคาบ
ความท้าทายที่ตามมาคือผลกระทบต่อแรงงาน หลายอาชีพอาจถูกแทนที่ด้วย AI และหุ่นยนต์ การสร้าง Ethical AI ที่ลดอคติและให้คุณค่ากับมนุษย์จึงเป็นประเด็นที่องค์กรทั่วโลกต้องให้ความสำคัญและนี่คือจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ เกินครึ่งหนึ่งของลูกค้าเราอาจจะตกงานเพราะถูกทดแทนด้วย AI จำนวนคนที่รวยจะน้อยลงๆ ส่วนคนที่รวยขั้นสุดคือจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ใช่ผู้ใช้งานที่จะรวยน้อยกว่ามาก
งานทางกายภาพกำลังถูกท้าทายเช่นกันด้วยหุ่นยนต์ที่จะเริ่มวางขายกันในปี 2025 นี้ นึกถึงปริมาณ Data Input (ภาพและเสียง หรือ multi-model ที่หลายคนตื่นเต้น) นึกถึง conversational, reasoning, และ agentic AI ที่จัดการ train AI Agents อีกหลายพันตัว นับเป็นโจทย์สำคัญของนักพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปจนถึงรัฐบาลในแต่ละประเทศที่เคยเคลื่อนตัวช้าในเรื่อง Social Media ที่ทุกวันนี้มันเป็นดาบสองคม ซึ่งด้านที่ไม่ดีของมันนั้นดันคมกว่าด้านดีของมันเสียอีก
จุดตัดความรักและความรับผิดชอบต่อเทคโนโลยี
AIS มองว่าเทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรู แต่การใช้งานของมนุษย์ต่างหากที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ดังนั้น Make everything with love คือหลักสำคัญที่เราควรยึดถือ การใช้งานเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบและตระหนักรู้ถึงผลกระทบจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน
"การรู้เท่าทันเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยกระทำด้วยความรักเพราะตัวเทคโนโลยีเองไม่ได้ผิดอะไร แต่การปรับใช้มันโดยมนุษย์นั่นเองที่เป็นปัญหา เพราะถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้ก้าวหน้าขึ้น สักวันหนึ่งมันอาจจะย้อนกลับมาปฏิบัติกับเราเหมือนเช่นที่เราปฏิบัติกับมันนั่นเอง และที่สำคัญอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ AI แนะนำ ขอให้หาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าอะไรคือความจริงกันแน่ พวกเราเคยพลาดมาแล้วในยุคโซเชียลมีเดีย"
ปี 2025 จึงไม่ใช่แค่ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เทคโนโลยีและมนุษย์ต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน