เกาะติด 2 ปัจจัยชี้ชะตาหุ้นไทย 'ประชุมเฟด-ประมูลพันธบัตรสหรัฐ'
“หุ้นไทย” พลิกกลับมาร่วงหนัก บล.เอเซียพลัส ชี้ นักลงทุนไม่เชื่อมั่นลงทุน เหตุสงครามไม่รู้จบเมื่อไร -นโยบายแจงเงินดิจิทัลไม่ชัดเจน มองดัชนีผันผวน บล.ทิสโก้ มองวอลุ่มเทรดลดลงต่อเนื่อง สะท้อนไม่มั่นใจลงทุนบล.กสิกรไทย แนะจับตา 2 ปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางหุ้นไทย “ประชุมเฟด-ประมูลพันธบัตรสหรัฐ”
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(31 พ.ย.66)เคลื่อนไหวในทิศทางที่ผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก เพราะตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวดี กำไร บจ.โต และค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ดัชนีปรับตัวลงแรงแตะ 1,374.66 จุด ลดลง 21.19 จุด ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นมาปิดตลาดที่ 1,381.83 จุด ลดลง 14.02 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,522.17 ล้านบาท
ด้านนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิหนัก 2,334.49 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 491.28 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 186.73 ล้านบาท และนักลงทุนบุคคลในประเทศซื้อสุทธิ 1,656.49 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้เคลื่อนไหวผิดจากที่ฝ่ายวิจัยคาดอย่างรุนแรง เพราะเรามองว่าควรที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น และกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 3 ปี 2566 ก็ออกมาดี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าน่าจะหนุนให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
ทั้งนี้จากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาแรงนั้น สะท้อนได้ว่านักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นในการลงทุน เพราะ มีปัจจัยความไม่แน่นอนที่ยังคงกดดันคือ สงครามในตะวันออกกลางที่ไม่มีใครรู้ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร ก็ต้องติดตามวันต่อวัน และนโยบายรัฐบาลที่ยังไม่ชัดเจน ส่วนประเด็นที่ PMI ของจีนออกมาต่ำคาดนั้น ไม่มีนัยสำคัญเพราะที่ออกมาต่ำคาดเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวของจีน ส่วนการประชุมเฟดนั้นมีน้ำหนักถึง 90% ที่เฟดคงดอกเบี้ย
ดังนั้นจึงมองทิศทางหุ้นไทยผันผวนต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเทรดดิ้งได้ยากมาก และมีความเสี่ยงสูง แต่ด้วยที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามากแล้ว ถึงจุดน่าสนใจลงทุน จึงแนะนำซื้อ และถือยาวให้ข้ามผ่านช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
"เรายังบอกไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับเป็นขาขึ้นได้เมื่อไร แต่ปัจจุบันหุ้นถือว่าอยู่ในจุดที่ถูก โดยประเมินแนวรับสัปดาห์นี้ที่ 1,360 จุด แนวต้านที่ 1,390 จุด "
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ ต้องติดตาม 2 ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ คือ ผลการประชุมเฟด และการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการประมูลครั้งใหญ่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ โดย 2 ปัจจัยดังกล่าวนั้นก็จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้จะเป็นอย่างไร
“อยากให้นักลงทุนรอดูช่วง 1-2 วันนี้ก่อนว่า การประชุมเฟด และการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะเป็นอย่างไร เชื่อว่า 2 ปัจจัยนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ โดยสัปดาห์นี้ประเมินแนวรับที่ 1,355 จุด แนวต้านที่ 1,425 จุด ”
ส่วนดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ที่ปรับตัวลดลงคาดว่า เป็นผลจากตัวเลข PMI ของจีนที่ประกาศออกมาต่ำคาด เป็นผลจากเป็นช่วงที่จีนมีวันหยุดยาว ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นของไทยที่รายได้อิงกับเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวลงวานนี้ แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และทุกอุตสาหกรรมจีนก็มีการฟื้นตัวที่ดี ( ยกเว้นอสังหาริมทรัพย์)
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามา และมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องสะท้อนได้ว่านักลงทุนไม่มั่นใจในการลงทุน ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ดาวน์ หากปรับตัวขึ้นได้ ก็จะขึ้นได้จำกัด เพราะยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ และความไม่แน่นอนประเด็นสงครามในตะวันออกกลาง
“จะเห็นได้ว่าปัจจัยลบเดิมก็ยังคงปกคลุมอยู่ และยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเสริม ทำให้ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ได้จำกัด”
ดังนั้นทำให้การลงทุนระยะสั้นทำกำไรได้ยาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ดาวน์ แต่หุ้นไทยขณะนี้ถือว่าน่าสนใจลงทุน หากลงทุนระยะกลางถึงยาวจะได้รับผลตอบแทนที่ดี เพราะเรามองว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้โอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ยาก
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีความชัดเจนในเรื่องการแจกเงินดิจิทัล และดึงการลงทุนเข้ามาได้มากขึ้น รวมถึงเดินหน้าการลงทุนภาครัฐ เช่น การประมูลรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ ฯลฯ หากผลักดันให้เกิดขึ้นได้ เชื่อว่าจะหนุนบรรยากาศการลงทุนหุ้นไทยดีขึ้น โดยสัปดาห์นี้ประเมินแนวรับที่1,360 จุด หากหลุดแนวรับสำคัญนี้ มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยลงไปแตะ 1,340 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400-1,420 จุด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์