เล่นหุ้นที่เกลียด

เล่นหุ้นที่เกลียด

คนที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานมากนั้น ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่ามักจะมีความคิดที่ “ฝังใจ” กับหุ้นบางประเภทที่ตนเองเคยประสบและมีประสบการณ์ที่ “ไม่ดี” ซ้ำอยู่หลายหนจนทำให้ “เข็ด”

และหลังจากนั้นก็จะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยแม้ว่าหุ้น “ตัวใหม่” อาจจะกำลัง “ดูดี” น่าลงทุน  เหตุผลรวบยอดที่ใช้ก็คือ  เขา “เกลียด” หุ้นที่มีลักษณะแบบนั้น  เพราะลงทุนหรือเล่นแล้วก็มักจะขาดทุนหรือหุ้นไม่ไปไหน  ตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆ  ในเว็บบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้นก็เช่น  “กลุ่มหุ้นปันผล”  ที่จ่ายหรือกำลังจะจ่ายปันผลงดงามที่มักจะพบคอมเม้นท์ที่ว่า  “อยากเอาปันผลไปคืน”  หลังจากวัน X-Dividend หรือวันที่ได้รับสิทธิในปันผลไปแล้วและราคาหุ้นตกลงมามากกว่าเงินปันผลที่ได้พอสมควร  ซึ่งทำให้ซื้อแล้ว “ขาดทุน”

หุ้นที่ซื้อแล้ว  “ขาดทุน” หรือ  “ไม่ได้อะไรเลย”  แม้ว่าจะวิเคราะห์ดีแล้ว  และผลประกอบการก็ออกมา “ดีตามคาด” เป็นหุ้นที่มักทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ VI รู้สึกผิดหวังมากกว่าปกติ  และนั่นก็อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว  แต่เกิดขึ้นซ้ำๆ  จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะ “เกลียด” และจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนั้น  ซึ่งก็มีหลายแบบมากดังตัวอย่างต่อไปนี้

กลุ่มแรกก็คือ  หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นกลุ่มที่ไม่ใคร่จะสนใจนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายหุ้น  อาจจะเพราะพวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเลยเพราะเขาไม่สนใจหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงินอีกต่อไปแล้ว  เช่นเดียวกับการที่ไม่คิดจะขายหุ้นซึ่งอาจจะอยู่ในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่เป็นแหล่งของความมั่งคั่งของคนในกลุ่มของตนเองที่เป็นเจ้าของร่วมกัน

  ดังนั้น  พวกเขาก็อาจจะไม่สนใจที่จะทำให้ราคาหรือมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น  หรือถ้ากิจการของบริษัทมีกำไรดี  เขาก็จะจ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะเงินอยู่กับบริษัทที่เขาควบคุมนั้น  ดีกว่าต้องจ่ายออกไปให้กับนักลงทุนที่เป็น  “คนนอก”  หุ้นจึงมักจะไม่ค่อยไปไหน

คนที่เป็น VI รวมถึงผมก็เลยเกลียดหรือไม่ชอบหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่สนใจผู้ถือหุ้นรายย่อย  และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มาจากต่างชาติบางประเทศที่มักจะมีประวัติดังกล่าว   อย่างไรก็ตาม  นานๆ เราก็อาจจะ  “เผลอ” เหมือนกันเวลาเจอหุ้นหรือบริษัทที่ “ดี” และน่าสนใจมาก  เราก็อาจจะเข้าไปซื้อหรือเก็งกำไร  และก็อาจจะพบว่า  “ผิดหวังอีกแล้ว  ไม่รู้จักจำ” ว่าเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารเป็นใคร

หุ้นที่ผม “เกลียด” กลุ่มที่สองก็คือ  หุ้นที่มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์สูงมาก  ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงได้มากเวลาที่อุปสงค์และอุปทานไม่สอดคล้องกันรุนแรง  ตัวอย่างเช่น  เหล็ก น้ำมัน ยาง ปิโตรเคมี หรือสินค้าบริการอย่างค่าระวางเรือเป็นต้น   อย่างไรก็ตาม  ระดับของการไม่ชอบและการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปลงทุนซื้อขายก็แตกต่างกันบ้างตามความผันผวนของราคาสินค้าและระดับของมาร์จินหรือส่วนต่างราคาซื้อและขายของบริษัทในอุตสาหกรรมแต่ละอย่าง

ธุรกิจที่เกี่ยวกับเหล็กนั้น  ผมคิดว่าลำบากมากที่จะทำผลตอบแทนระยะยาวไม่ว่าบริษัทจะดีแค่ไหน  ดังนั้น  หุ้นเหล็กตัวหนึ่ง  ที่แม้ว่าจะ “ยิ่งใหญ่” มากในตลาดหุ้นเวียดนามและทำกำไรได้ดีมากในปัจจุบันผมเองก็จะหลีกเลี่ยง  ผมคิดว่า  ในระยะยาวแล้ว  การถือหุ้นเหล็กคงทำกำไรได้ยาก  และถ้าระยะยาว 4-5 ปี ถือไม่ได้  ระยะสั้นแค่ 4-5 นาทีผมก็ไม่ถือ

อย่างไรก็ตาม  หุ้นโภคภัณฑ์นั้น  บ่อยครั้งก็ให้ผลตอบแทนแบบ  “ทะลุฟ้า 4-5 เด้ง” ได้ง่ายๆ  และนี่ก็ทำให้เรา  “เผลอ” เข้าไปเล่นได้  ผมเองเคยคิดอยู่บ้างเหมือนกันในหุ้นบางตัว แต่ก็ไม่ได้ทำและก็พลาดโอกาสทำเงินไป  อย่างไรก็ตาม  ผมก็พยายาม “ไม่เสียดาย” เพราะเราไม่อยากรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงและประเมินไม่ได้ 

ผมจะเล่นต่อเมื่อบริษัทหรือหุ้นที่ทำกิจการโภคภัณฑ์นั้น  มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ของราคาสินค้าในทางเดียวกันหมด  ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงรวมของบริษัทได้มาก  และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  หุ้นมีราคาที่ “ถูกมากๆ” และต่อให้ปีนั้นจะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุด  มันก็ยังถูกอยู่ดี  เพราะมันจะ “ไม่เจ๊ง” และในไม่ช้ากำไรก็จะกลับมาตามราคาโภคภัณฑ์ที่จะต้องดีขึ้น  ตัวอย่างก็เช่น  ราคาน้ำมัน  เป็นต้น

หุ้นกลุ่มที่ 3 ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก็คือ  กิจการที่อาจจะถูก Disrupt หรือทำลายล้างโดยเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล  ตัวอย่างอาจจะรวมถึงธุรกิจหนังสือ สิ่งพิมพ์  ทีวี  และโรงภาพยนตร์  ที่ผมพยายามหลีกเลี่ยง  นอกจากนั้นธุรกิจอย่างเช่นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ก็อาจจะกำลังโดนรถไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาตีตลาดอย่างรุนแรง  ทั้งหมดนั้น  จริงๆก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงหรือแค่บางส่วน  นอกจากนั้น  บริษัทก็อาจจะสามารถปรับตัวและหาตลาดใหม่โดยใช้เทคโนโลยีเองก็ได้  ดังนั้น  ถึงผมจะยังไม่ลงทุน  ก็จะคอยติดตามว่าพัฒนาการของธุรกิจเป็นอย่างไร  ผลประกอบการแย่ลงเรื่อยๆ  หรือเริ่มดีขึ้น  ที่สำคัญ  ราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดไหนแล้ว  ทั้งหมดนั้นก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะลงทุนและทำกำไรได้

หุ้นหรือบริษัทกลุ่มที่ 4 ที่ผมคิดว่านักเล่นหุ้นจำนวนมากอาจจะ “เกลียด” แต่ผมเองคิดว่าน่าสนใจก็คือ  หุ้นที่  “ไม่มีเจ้าของ” ซึ่งก็มักจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก  และผู้ถือหุ้นที่ถือจำนวนมากก็จะเป็นสถาบันที่ลงทุนโดยมืออาชีพ    เช่นเดียวกับผู้บริหารบริษัทก็จะเป็นมืออาชีพที่จะต้องถูกประเมินโดยผู้ถือหุ้นสำหรับผลงานของตนเอง

ประเด็นที่นักเล่นหุ้นเกลียดหุ้นกลุ่มนี้ก็คือการที่หุ้นเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีคนที่พร้อมซื้อขายหุ้นมากเกินไป  นอกจากนั้น  จำนวนมากก็เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศที่มักตัดสินใจซื้อขายหุ้นโดยอิงกับภาวะการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลก  นั่นทำให้หุ้นใหญ่ๆ ของไทยปรับตัวขึ้นลงน้อยในแต่ละวันหรือแม้แต่สัปดาห์  เหตุผลก็เพราะว่าคนที่ซื้อขายก็ตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานกิจการของบริษัทที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงช้า  ข่าวดีหรือข่าวร้ายของบริษัทที่เข้ามากระทบนั้น  ก็มักจะมีผลไม่มากต่อผลประกอบการโดยรวม  ดังนั้นราคาหุ้นจึงไม่ใคร่หวือหวา  นักเล่นหุ้นที่เน้นการเก็งกำไรเร็ว ๆ  จึงมักจะผิดหวังและ “ไม่อยากรอ”  พวกเขาจึงมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้น

แต่ผมเองกลับชอบ  เพราะราคาของหุ้นจะ “ไม่แพง”  โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตเร็ว  ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจลงทุนมากนัก  และก็อาจจะไม่อยากที่จะถือหุ้นยาวด้วย  เพราะมองว่ามีตลาดอื่นที่โตเร็วและเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่า  แต่สำหรับผมแล้ว  นี่คือกลุ่มที่มีความมั่นคงของผลประกอบการ   มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ กิจการยังสามารถเติบโตได้บ้าง  มีค่า P/E ปกติไม่เกิน 10 เท่า และสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงมาก  เช่น  4-5% ต่อปีขึ้นไปได้ต่อเนื่องยาวนาน  ผมก็คิดว่าน่าลงทุนและหวังผลตอบแทนได้อย่างน้อย 6-7% ต่อปีขึ้นไป  ซึ่งน่าจะดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในอนาคต

หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมเกลียดก็คือ  “หุ้นที่มีเจ้ามือ” หรือคนที่คอยดูแลทำราคาหรือเรียกว่าเป็น  “Market Maker”  หรือในกรณีที่รุนแรงก็คือปั่นหุ้นหรือ “คอร์เนอร์หุ้น” ที่ทำให้ราคาหุ้นผิดธรรมชาติมาก  อาจจะสูงกว่าพื้นฐานเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวได้ในระยะเวลาสั้น ๆ  

สิ่งที่จะต้องระวังมากสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ  หลายๆตัวเป็นหุ้นที่อาจจะมีพื้นฐานที่ดี  มีสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้นที่น่าสนใจมาก  นอกจากนั้นก็อาจจะมีผลประกอบการที่ดูเหมือนจะมีการเติบโตสูงมากและบริษัทเป็น “ผู้ชนะ” คล้ายๆ  กับ  “ซุปเปอร์สต็อก”  

แต่ถ้าวิเคราะห์ดูอย่างรอบคอบและไม่ถูกอิทธิพลของการ “เล่าเรื่อง” ประกอบกับผลประกอบการที่กำลังดีขึ้นมาก  และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นราวกับติดจรวด  ก็อาจจะพบว่าบริษัทอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นในระยะยาว  ซึ่งก็จะทำให้ในที่สุด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก็จะตกลงมาอย่างแรงจนทำให้คนที่เข้าไปเล่นขาดทุนได้ทั้งๆที่เคยได้กำไรมโหฬารแต่ไม่ยอมขายเพราะยังเชื่อในตัวหุ้นอยู่

ผมเองพยายามและก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นได้สำเร็จ  เพราะเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการสำคัญที่สุดของการลงทุนนั่นก็คือ  ถ้าหุ้นมีราคาแพงมากเกินไปมาก  ผมไม่ซื้อ  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ  ผมไม่เชื่อสตอรี่ที่ดีเกินไป  และก็ไม่ชอบผู้บริหารที่ “โม้” มากเกินไป  ดังนั้น  เมื่อพบว่าบริษัทมีอาการแบบนั้น  ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้น  ผมพลาดหุ้นแนวนี้เยอะมากในช่วงอย่างน้อย 6-7 ปีที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ก็เห็นแล้วว่า  คนที่เข้าไปเล่นหุ้นเหล่านั้นเจ็บตัวกันหนัก  หลายคน  “คืนเงินกลับไปหมดแล้ว” หลังจากคอร์เนอร์ “แตก” กันเป็นระลอก

กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  โดยปกติแล้ว  ผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกลียด  และจะซื้อก็ต่อเมื่อหุ้นมีราคาถูกถึงถูกมาก  และต้องดูแล้วว่ามันก็ไม่ถึงกับเกลียดมากจนซื้อไม่ได้เลย