มาละเหวยมาละวา มาซื้อหรือมาขายตาละลา

มาละเหวยมาละวา มาซื้อหรือมาขายตาละลา

“Timing” หรือจังหวะเวลาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สิ่งดี ๆ ต่อตลาดหุ้นทั้งหลายต่างก็เวียนมาบรรจบกันพอดีแล้วก็ถูก “จุดชนวน” โดย "ทักษิณ" ทำให้หุ้น “ระเบิด” ราวกับติดจรวด ราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงมาก พร้อม ๆ กับปริมาณซื้อขายต่อวันสูงถึง "แสนล้าน" เป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานาน

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกลงมาต่ำมากที่ 1,291 จุด และเป็นการตกลงมาจากต้นปีถึง 8.8% ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” ในขณะนั้น แต่หลังจากนั้น ดัชนีตลาดก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4 กันยายน ดัชนีอยู่ที่ 1,365 จุด วันที่ 5 กันยายน ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 39 จุด และวันที่ 6 กันยายน ปรับตัวขึ้นต่ออีก 23 จุด เป็น 1,428 จุด

ทำให้ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวขึ้นเป็นบวกแล้วประมาณเกือบ 1% และเพียง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาถึง 11% กลายเป็นตลาดหุ้นที่แสดงผลงานได้ “ดีที่สุดในโลก” ในช่วง 1 เดือนผ่านมา เพราะตลาดหุ้นโลก “ปรับตัวลงกันทั่วหน้า”

เหตุผลที่ชัดเจนก็คือ ประเทศไทยกำลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนที่คนเดิมที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง คือคุณแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย และก็ไม่เคยมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมาก่อน

อย่างไรก็ตาม เธอเป็นลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยมีผลงานโดดเด่นในการบริหารประเทศในช่วงปี 2544 จนถึงปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากความตกต่ำอย่างแรงต่อเนื่องจากวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540

นายทักษิณได้แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าจะเข้ามาช่วยกำหนดนโยบายและทิศทางในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยจากการ “ถดถอยหรือแน่นิ่ง” มานานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเซียในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงจากระดับประมาณ 4-5% ต่อปีเหลือเพียงประมาณ 2% ต่อปีในช่วงหลัง ๆ

การแสดงออกของคุณทักษิณโดยการแสดง “วิสัยทัศน์” เมื่อ 3-4 วันก่อนหน้านี้ ได้ “จุดประกาย” ให้นักธุรกิจและนักลงทุนในตลาดหุ้น “เกิดความเชื่อมั่น” ว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะต้องดีขึ้นและตลาดหุ้นจะต้องดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตกต่ำนั้น มันอยู่ที่จุดต่ำสุดแล้ว ทุกปัจจัยที่ดีที่ทุกคนต่างก็รอคอยว่าจะมา ถึงตอนนี้ มันกำลังจะมาอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลใหม่นี้พร้อมที่จะทำมันแล้ว

เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแจกคนละหมื่นบาทกับคนค่อนประเทศที่คนจำนวนมากไม่แน่ใจว่าจะทำได้และทำเมื่อไรเพราะถูก “ต่อต้าน” นั้น บัดนี้ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเกิดขึ้นภายในเวลา “ไม่ถึงเดือน” และเงินนี้ยังไงก็คงทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะจำนวนเงินหลายแสนล้านบาทที่จะถูกฉีดเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องหลายเดือนนั้น ยังไงก็คงส่งเสริมให้ภาคการบริโภคเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงปลายปีนี้และอาจจะส่งผลต่อไปอีกในช่วงต้นปีหน้า

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของประเทศไทย ซึ่งนักธุรกิจและประชาชนต่างก็ “รอ” มานาน ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการรอน่าจะใกล้สิ้นสุดเต็มที โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการประชุมคราวหน้าอีกไม่กี่วันที่จะถึง ซึ่งจะทำให้แบ้งค์ชาติไม่มีเหตุผลอีกต่อไปที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม และถ้าดอกเบี้ยลดลง การลงทุนและการบริโภคก็จะดีขึ้น ค่าผ่อนชำระเงินกู้ก็จะต่ำลง เงินที่จะใช้เพื่อการบริโภคก็จะมากขึ้น

เศรษฐกิจโดยรวมของไทยเองนั้น ดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้นจากภาวะที่ซบเซาก่อนหน้านี้ ตัวเลขการส่งออกดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ การท่องเที่ยวก็เช่นกันที่กำลังดีขึ้นและจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ว่าที่จริง จำนวนคนที่เดินในซอยรางน้ำที่ผมอยู่นั้น ดูเหมือนจะคึกคักเกือบเท่าสมัยก่อนโควิด-19 แล้ว ซึ่งก็ทำให้ร้านค้าปลอดภาษีและร้านสะดวกซื้อมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไม่ไปไหนมานานก็คือ เม็ดเงินที่มาจากสถาบันที่เข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนประหยัดภาษีของคนที่มีรายได้สูงเช่น LTF นั้นหายไปนานแล้ว และกองทุนที่จะมาแทนนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพพอในการดึงเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น หรือไม่ก็เป็นกองทุนที่กำลังคิดหรือกำลังเตรียมการแต่ก็ไม่ออกมาเสียที สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือ รัฐบาลยังมีอาการ “ไม่มั่นคง” เนื่องจากประเด็นทางการเมือง

แต่เมื่อถึงวันนี้ ดูเหมือนว่ากองทุนที่มี “ประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด” คือ “กองทุนวายุภักษ์” ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าจะเริ่มดำเนินการระดมเงิน 1 แสนหรือ 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ดี ๆ และราคาถูกในตลาดหลักทรัพย์ โดยที่จะเป็นกองทุนที่รับประกันกับนักลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 3% ต่อปี ในขณะที่ถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 8% ต่อปี ทั้งหมดนี้จะเปิดขายในเร็ววันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใน “ไตรมาศหน้า” อีกต่อไป

ในส่วนของอายุหรือความมั่นคงของรัฐบาลที่เป็นประเด็นทำให้หลาย ๆ เรื่องต้องชะลอหรืออาจจะไม่เกิดนั้น ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะมั่นคงขึ้น มีความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังลงตัว ผู้มีอำนาจ “ตัวจริง” ต่างก็ “ลงมาเล่น” กันหมด แน่นอนว่าจะมีคนเถียงว่ามีการใช้ “นอมินี” หรือตัวแทนกันมากที่สุดเพราะ “ตัวจริง” ขาดคุณสมบัติ แต่ผมมองว่าอาจจะใช่ แต่ตัวจริงนั้นก็ “เปิดตัว” ให้รู้กันชัดเจน เพียงแต่กฎหมายที่ “ไม่เป็นธรรม” อาจจะไม่สามารถเอาผิดได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “อำนาจนอกระบบ” กับ “อำนาจในระบบ” ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกันมากขึ้น และนี่ก็คือความมั่นคงทางการเมืองแบบ “ไทยๆ”

สรุปก็คือ “Timing” หรือจังหวะเวลาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สิ่งดี ๆ ต่อตลาดหุ้นทั้งหลายต่างก็เวียนมาบรรจบกันพอดีแล้วก็ถูก “จุดชนวน” โดยคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก็ทำให้หุ้น “ระเบิด” ราวกับติดจรวด ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมากพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงถึงแสนล้านบาท ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เราไม่ได้เห็นมานาน

ประเด็นสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ หุ้นจะขึ้นต่อไปและจะสูงไปถึงแค่ไหน นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” ที่ไม่เล่นหุ้นเก็งกำไรควรจะซื้อหรือควรจะขาย? แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ผมอยากจะหวนย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหุ้นยุคที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาเกือบ 6 ปี

ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ที่คุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 330 จุด ดัชนีก็ทรง ๆ อยู่เท่าเดิมเป็นเวลาถึงประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะเริ่มวิ่งขึ้นไปแรงมากในช่วงปีที่ 3 คือปี 2546 โดยที่เมื่อสิ้นปี 2546 ดัชนีก็วิ่งขึ้นไปถึง 772 จุด เฉพาะปี 2546 ปีเดียว ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 117% ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤติ 2540 อานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่และ “สูงที่สุด” ถึง 7.2% สถานะทางการเงินของไทยสูงสุดจากการประกาศคืนเงินที่ต้องกู้ยืมจาก IMF ก่อนกำหนดของคุณทักษิณในช่วงกลางปี 2546

หลังจากการขึ้นสู่ “จุดสูงสุด” รัฐบาลที่นำโดยคุณทักษิณก็ประสบปัญหามากมายจากการประท้วงของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามจนนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 โดยที่การเติบโตของ GDP ลดลงเหลือเพียงปีละ 4-5% และดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 3 ปีหลังของคุณทักษิณไม่สามารถขึ้นไปเกินจุดสูงสุดที่ 772 จุดอีกเลย

รอบใหม่ที่คุณทักษิณกลับมา “หลังจาก 17 ปี” นี้ ดูเหมือนว่าหุ้นจะต้อนรับ “ตั้งแต่วันแรก” เพราะคนอาจจะคิดถึงอดีตที่หอมหวาน คำถามอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงสร้างของประชากรที่แก่ตัวได้ไหม เช่นเดียวกับปัญหาในการบริหารประเทศในระยะยาว ถ้าทำได้ หุ้นก็อาจจะโตต่อไปได้อีกยาวนาน แต่ถ้าหากว่าทำไม่ได้ หุ้นก็คงขึ้นไปได้อีกไม่นาน และถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็คือโอกาสที่ควรจะขาย เพราะมันอาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ที่เราจะขายหุ้นได้ในราคาที่ดี