เมื่อกระแสลมแห่งความผันผวน พัดผ่านตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไทย
การกระจายลงทุนทั้งในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ที่นอกจากจะช่วยให้พอร์ตของนักลงทุนข้ามผ่านกระแสลมที่เข้ามาสร้างความผันผวน ยังเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนอีกด้วย
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกอย่างชัดเจน โดย SET Index พุ่งขึ้นถึง +13% จากจุดต่ำสุดในเดือนสิงหาคม ต่างจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็คือ “ความกังวลในหุ้นสหรัฐฯ” และ “ความหวังในหุ้นไทย”
เริ่มต้นที่ความกังวลในสหรัฐฯ ที่ทำให้ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนระหว่างทาง โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม -8% (16 ก.ค.-7 ส.ค.)และในรอบนี้ปรับลง -4% ในช่วงวันที่ 30 ส.ค.ถึง 6 ก.ย. กดดันหลักๆ จาก ความกังวลเศรษฐกิจถดถอย หลังตัวเลขการจ้างงานชะลอตัวลง และตัวเลขภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แต่เรายังคงมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลงแบบ Soft landing เท่านั้น ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกหนึ่งปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ คงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งสหรัฐฯ เนื่องจากผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองท่านได้รับความนิยมสูสีกันอย่างมาก และนโยบายจากทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันหลายด้าน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ในทิศทางที่ต่างกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำลงทุนแบบกระจายในหุ้น 2 กลุ่ม ทั้งกลุ่มเติบโตสูง (Growth) โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี และ Consumer Discretionary ที่แม้ว่าในระยะสั้นราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจปรับฐานลงบ้างจากกระแสเงินทุนที่ไหลออกจากกลุ่ม Growth แต่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง รายได้และกำไรเติบโตได้อย่างโดดเด่น และกระจายลงทุนในหุ้นอีกกลุ่มคือ หุ้นคุณค่า (Value) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการเงินที่มีรายได้กระจายในหลายธุรกิจทั้งการปล่อยกู้ การลงทุนในตลาดทุน วาณิชธนกิจ รวมถึงธุรกิจประกันด้วย
ข้ามมาที่ไทยกันบ้าง นอกจากตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมาอย่างโดดเด่นแล้ว เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นมาอย่างมาก หนุนจากปัจจัยในประเทศหลายประการ เริ่มต้นจากความชัดเจนทางการเมืองหลังได้นายกฯ คนใหม่อย่างรวดเร็ว ความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และการพิจาณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ไม่ล่าช้า ทำให้คาดว่ารัฐบาลจะเบิกจ่ายงบประมาณได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม และพระเอกคนใหม่คงหนีไม่พ้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ก ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงสุดถึง 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 0.9% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย ซึ่งนักลงทุนกำลังให้ความสนใจเพราะมีการกำหนดกรอบผลตอบแทนคาดหวังในระดับ 3-9% จากมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น และมีกลไกในการคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ก ไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน หากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้กลไกในการคุ้มครองเงินลงทุนไม่เพียงพอและนักลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนบางส่วนหรือทั้งหมดได้
ประเด็นข้างต้นช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างน้อยในระยะสั้น แต่การที่ตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นต่อได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน โดยในช่วงนี้หุ้นไทยจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจากทั้งการท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่ High Season ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่โฟกัสไปที่การบริโภคในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนบางอุตสาหกรรม นอกจากนั้น Valuation ของหุ้นไทยถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ด้านปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจะกระทบเศรษฐกิจไทย หากเงินบาทแข็งค่าจะกระทบรายได้ผู้ส่งออก และตลาดอาจปรับลงแรง หากมาตรการจากรัฐบาลไม่เป็นไปตามคาดหวัง
กระแสลมที่พัดให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นนั้น จะเป็นเพียงระยะสั้น หรือจะหนุนให้หุ้นไทยปรับขึ้นต่อได้ในระยะยาว คงต้องจับตาพัฒนาการด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติและหนุนให้หุ้นไทยปรับขึ้นอย่างยั่งยืนได้ ส่วนหุ้นสหรัฐฯ นั้นยังคงต้องจับตาทั้งด้านตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายการเงินจาก FED รวมถึงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ดังนั้นการกระจายลงทุนทั้งในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ที่นอกจากจะช่วยให้พอร์ตของนักลงทุนข้ามผ่านกระแสลมที่เข้ามาสร้างความผันผวน ยังเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนอีกด้วย