ภาพใหญ่ยังเป็นบวก เดือนพ.ย.
การลงทุนในเดือนพ.ย.ภาพใหญ่ระดับโลกดูค่อนข้างดีและมีโมเมนตัม น่าจะยาวไปตลอดเดือนนี้เพราะเป็นเดือนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น เน้นใช้กลยุทธ์ Let Profit Run ในส่วนของหุ้น ยังมีความเหมาะสมอยู่ และค่อย Lock Profit อีกครั้ง เมื่อ SET Index ปรับตัวขึ้นแตะ 1,500 จุด ซึ่งเป็นจุดพิจารณาที่จะเพิ่มการถือครองเงินสดเพิ่มขึ้น 5-10%
เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยหลักก็เป็นผลมาจากการที่นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นมาตลอดเพื่อรอการเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ในตลาดหุ้นไทยอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม จากการเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นทะลุระดับ 1,500 จุดไปได้ก่อนที่จะชะลอตัวลง แต่ก็ยังทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมดีขึ้นไม่น้อยหน้ากัน อีกปัจจัยหนึ่งถือว่าพลิกโผพอสมควรสำหรับตลาดตราสารหนี้ กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.50% เป็น 2.25% ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ทั่วไป ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแกว่งตัวออกด้านข้างทั้งหมดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนในเดือนนี้ ออกมาค่อนข้างดี
มาดูปัจจัยหลักๆ ในต่างประเทศกันบ้าง การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯเดือน ก.ย.ปรับเพิ่มขึ้น 2.54 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 1.5 แสนตำแหน่ง อย่างมีนัยสำคัญ และยังเป็นระดับการเพิ่มสูงสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนอัตราการว่างงานปรับลดลงจากเดือนก่อนที่ 4.2% มาอยู่ที่ 4.1% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จากตัวเลขตลาดแรงงานที่ออกมาแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนลดระดับความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ FED อย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับเปลี่ยนโอกาสจากการให้น้ำหนักต่อการลดดอกเบี้ย 0.5% เป็น 0.25%
ในการประชุมเดือน พ.ย. ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลขยับสูงขึ้น และค่าเงินสหรัฐฯ ก็กลับมาแข็งค่าขึ้น อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังที่สูงขึ้นในการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของคุณทรัมป์ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะนำมาสู่แนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากสงครามการค้า
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกระแส คุณทรัมป์ มาแรงกว่าคุณ แฮริส มาก ทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ ทองคำ และผลตอบแทนพันฐบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับญี่ปุ่นผลการเลือกตั้งทั่วไปมีแนวโน้มว่า รัฐบาลผสมของญี่ปุ่นซึ่งนำโดยพรรค LDP มีโอกาสสูญเสียเสียงข้างมากในสภาเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ส่งผลให้เงินเยนปรับตัวอ่อนค่าทำสถิติใหม่ของรอบนี้ และผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ มีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ตามคาด แต่ก็มีแนวโน้มที่อาจจะปรับนโยบายทางการเงินให้ตึงตัวขึ้นในครั้งหน้าซึ่งก็ยังน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ท้ายสุดมาที่ประเทศจีน ธนาคารกลางจีน PBOC ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปีอย่างละ 0.25% ถือเป็นการปรับลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.20% เป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมและตัวเลขยอดค้าปลีก ต่างออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณไว้ด้วยเช่นกัน
ภาพการลงทุนในเดือนพฤศจิกายน คงไม่หนีจากปัจจัยเรื่องของผลการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร น่าจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่อาจจะต่างนิดหน่อยตรงว่าถ้าเป็นคุณทรัมป์ เงินเฟ้อมาแน่ ทองคำ คงจะขึ้นด้วย เพราะนโยบายกีดกันการค้ากับจีน และอีกปัจจัยก็คงเป็นการประชุมของ FED ซึ่งในรอบนี้ก็น่าจะเป็นไปตามคาดที่ 0.25% ข่าวดีอีกเรื่องคือการประชุมของคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติของจีนในวันที่ 4-8 พ.ย. ที่น่าจะเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลัง สำหรับประเทศไทยก็น่าจะเป็นช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาสที่ 3 ท้ายสุดก็คือความเป็นไปได้ในการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาลไทย ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะมีขนาดใหญ่นักแต่ก็ถือเป็นข่าวดีที่จะทำให้บรรยากาศการลงทุนของประเทศไทยได้รับผลบวกไปตามภาพรวมของโลก
คำแนะนำการลงทุนในเดือนพฤศจิกายน ภาพใหญ่ระดับโลกดูค่อนข้างดีและมีโมเมนตัม ซึ่งน่าจะยาวไปตลอดเดือนนี้เพราะเป็นเดือนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น ยังคงเน้นใช้กลยุทธ์ Let Profit Run ในส่วนของหุ้น ยังมีความเหมาะสมอยู่ และค่อยพิจารณาที่จะ Lock Profit อีกครั้ง เมื่อ SET Index ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,500 จุด ซึ่งเป็นจุดพิจารณาที่จะเพิ่มการถือครองเงินสดเพิ่มขึ้น 5-10% อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ พอร์ตการลงทุน ยังควรที่จะมีหุ้น 50% โดยแบ่งเป็น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ประเทศละ 10% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือยังเป็นสัดส่วนลงทุนทองเลือก อาทิ ทอง น้ำมัน และ REIT รวมกันเป็น 10%