เสริมภูมิคุ้มกันพอร์ต ด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของสหรัฐฯ การเพิ่มสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ และเติมเต็มด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare ก็เปรียบเสมือนการทานอาหารเสริม พร้อมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันแก่พอร์ตลงทุน
ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับเหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกรอคอยอย่างการเลือกตั้งสหรัฐฯ และผลการเลือกตั้ง (ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน) พบว่าคุณทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนถัดไป และพรรครีพับลิกันมีโอกาสครองเสียงข้างมากทั้งสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภา
ก่อนหน้านี้เราได้แนะนำนักลงทุนกระจายการลงทุน เนื่องจาก ผลโพลระหว่างสองผู้สมัครสูสีกันมากและผลกระทบต่อหุ้นบางกลุ่มจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน หลังจากเราได้ทราบผลการเลือกตั้งแล้ว จึงแนะนำนักลงทุนปรับพอร์ต โดยลดสัดส่วนหุ้นที่จะเสียประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด เนื่องจากนโยบายหลักของพรรครีพับลิกันนั้นแตกต่างจากพรรคเดโมแครต โดยไม่ได้ความสำคัญไปที่การลงทุนด้านพลังงานสะอาด เช่น การลงทุนด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า แต่คุณทรัมป์จะเน้นสนับสนุนพลังงานแบบดั้งเดิมทั้งถ่านหินและน้ำมัน
หลังจากที่คุณทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะเป็นบวกหุ้นสหรัฐฯ หนุนจากนโยบาย “American First” โดยเฉพาะเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล ถึงแม้ว่าการลดภาษีนิติบุคคลเพิ่มเติมยังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่าจะขยายระยะเวลานโยบายการลดภาษีภายใต้กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังมีนโยบายสนับสนุนภาคเอกชนเกือบทุกกลุ่ม เช่น การผ่อนคลายความเข้มงวดของหุ้นกลุ่มเทคฯ และนโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้สถาบันการเงินมีความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนั้นคาดว่าหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นได้ดี หนุนจากสภาวะการเงินที่ผ่อนคลาย ท่ามกลางวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ FED อีกด้วยและอีกชิ้นส่วนสำคัญสำหรับพอร์ตหุ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็คือหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยมีปัจจัยบวก ดังนี้
1. กลุ่ม Healthcare ถือว่าเป็นกลุ่ม Defensive ผลดำเนินงานมีความสัมพันธ์กับสภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้รายได้และกำไรของหุ้นกลุ่มนี้มีเสถียรภาพมากกว่า ในยามที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
2. ด้วยความที่เป็นกลุ่ม Defensive ทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาลง หุ้นกลุ่ม Healthcare มักปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดโดยรวม
3. หุ้นกลุ่ม Healthcare สอดรับไปกับกระแสหลักของโลก ทั้งในเรื่องการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว และการที่ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการในกลุ่ม Healthcare มากขึ้น ทั้งในเรื่องการรักษาโรค การป้องกันไม่ให้เกิดโรค รวมไปถึงการซื้อประกันสุขภาพด้วย
4. นวัตกรรมทางการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนรายได้ของกลุ่ม Healthcare เช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม Biotechnology ที่ได้คิดค้นยารักษาโรคต่างๆ ให้มีประสิทธิผลมากขึ้นและสร้างรายได้ให้แก่บริษัทมหาศาล เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน และโรคที่ติดต่อทางพันธุกรรม เป็นต้น
แต่ทั้งนี้แม้หุ้นกลุ่ม Healthcare โดยรวมจะมีความผันผวนต่ำกว่าตลาด แต่หุ้นบางกลุ่มย่อยก็มีผันผวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่ม Biotechnology ขนาดเล็ก ที่รายได้ขึ้นอยู่กับยาเพียงไม่กี่ตัว และการได้รับอนุมัติจากองค์กรอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) มีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มประกันสุขภาพก็อาจผันผวนตามนโยบายด้านสวัสดิการจากภาครัฐ ทำให้ราคาหุ้นแต่ละบริษัทมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare จึงมีความท้าทายอย่างมาก
ดังนั้นควรลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีการบริหารเชิงรุก โดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้น พร้อมทั้งมีการกระจายการลงทุนในหุ้นหลายกลุ่มย่อย ทั้ง (1) Pharmaceutical ที่เป็นบริษัทยาขนาดใหญ่ มีฐานะการเงินมั่นคง มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ (2) Biotechnology ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตโดยรวม และตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน เนื่องจากรายได้และกำไรจะขึ้นอยู่กับการคิดค้นพัฒนายารักษาโรคใหม่ๆ (3) กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ และ (4) กลุ่มบริการทางการแพทย์ ที่มีทั้งโรงพยาบาลและประกันสุขภาพ นอกจากนั้นกองทุนยังต้องมีกลไกลการควบคุมความเสี่ยงเพื่อไม่ให้มูลค่าของกองทุนผันผวนตามราคาของหุ้นบริษัทเดียวมากเกินไป
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของสหรัฐฯ การเพิ่มสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ และเติมเต็มด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare ก็เปรียบเสมือนการทานอาหารเสริม พร้อมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันแก่พอร์ตลงทุน ที่นอกจากจะช่วยสร้างผลตอบแทนแล้ว ยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมด้วย