'ทักษิณ' กับภารกิจยิ่งใหญ่ กอบกู้เพื่อไทย-ขั้วอำนาจเก่า

'ทักษิณ' กับภารกิจยิ่งใหญ่ กอบกู้เพื่อไทย-ขั้วอำนาจเก่า

การเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ ชินวัตร” นับแต่ได้รับการ “พักโทษ” แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เกมต่อรอง “กลับไทย”ไม่ใช่เพื่อมา “เลี้ยงหลาน” ตามกล่าวอ้าง หากแต่เพื่อแบกความหวังกอบกู้ความตกต่ำของพรรคเพื่อไทย และ “ขั้วอำนาจเก่า” ให้กลับมายืนทระนงอยู่บนเวทีการเมืองอีกครั้งนั่นเอง

ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการกำหนดบทบาทที่เหมาะสมของ “ทักษิณ” ด้วย 

 

ทั้งนี้สิ่งที่น่าย้อนให้เห็นเป็นสำคัญ อาจเนื่องมาจากผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14พฤษภาคม 2566 ที่ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้ให้กับ พรรคก้าวไกล อย่างพลิกความคาดหมาย และได้ผลการเลือกตั้งที่ผิดคาดอย่างมาก 

 

นั่นคือ พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งมาอันดับ 1 ได้ส.ส.ทั่วประเทศ 151 ที่นั่ง ขณะพรรคเพื่อไทยมาอันดับ 2 ได้ส.ส. 141 ที่นั่ง พลิกความคาดหมายอย่างไม่น่าเชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะมาแรงถึงขั้นเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ เพราะศักดิ์ศรีความเป็นพรรคใหญ่ และเก่าแก่ ถือว่า ห่างชั้นกันมาก ทั้งยังผิดคาดที่พรรคเพื่อไทย ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย หรือ “แลนด์สไลด์” ด้วยที่นั่งส.ส.ที่เอาชนะส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาได้ไม่ยาก หรือ ไม่ต้องกังวลว่า ส.ว.สายอำนาจเก่าจะไม่โหวตให้ อะไรประมาณนั้น 

อย่าลืมว่า ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกพรรคทุ่มเทเป็นการใหญ่ และต่างก็คาดหวังส.ส.อย่างเป็นกอบเป็นกำ มีการ “ดูด” อดีตส.ส.เข้าสังกัดพรรคเป็นว่าเล่น มีการเอาผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคไปร่วมหาเสียงครบครัน มีการออกนโยบายลดแลกแจกแถม อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างก็ใช้ทรัพยากรของพรรคกันอย่างเต็มที่ มีอะไรขนเอาออกมาสู้จนหมดสิ้น 

 

แต่ผลที่ออกมา ช็อกตาตั้ง ใครจะคิดว่า พรรคที่แทบไม่มีอะไรจะสู้พรรคอื่นได้ นอกจากนโยบายหาเสียงกับคนรุ่นใหม่ และข้อเสนอเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ส่วนผู้สมัครส.ส. นอกจากจะมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่พอมีคนรู้จักบ้าง นอกนั้นก็ “โนเนม” เป็นส่วนใหญ่ 

 

และถ้าจะว่าไปแล้ว เพื่อไทย กับ ก้าวไกล ต่างได้เปรียบกระแส “เบื่อประยุทธ์” และต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย โดย “เพื่อไทย” ยิ่งได้เปรียบเข้าไปใหญ่ตรงที่เป็นพรรคใหญ่ และถูกคาดหวังว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย

แต่ด้วย “จุดยืน” ที่ไม่ชัดเจน มีประเด็นเกี่ยวกับ “ทักษิณ” เข้ามาเกี่ยวข้อง มีกระแส “ดีลกลับไทย” ที่จะร่วมรัฐบาลกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยต้องการส.ว.ในมือ “พล.อ.ประวิตร” เพื่อโหวต “นายกรัฐมนตรี” 

 

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็น “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง ไม่มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทย จะเป็นตัวแทนที่แท้จริงได้ และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้จริงจัง เพียงแต่แก้ข่าวแบบ “กั๊กๆ” เท่านั้น ยิ่งทำให้เชื่อว่า “ดีล” ดังกล่าว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และ “ทักษิณ” ที่หวังเป็นรัฐบาล

 

ทั้งหมดคือ บทเรียนทางการเมือง ที่ทุกพรรคการเมืองต้องนำมาขบคิด โดยเฉพาะฝ่าย “ขั้วอำนาจเก่า” เพราะถ้าดูจากผลการเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่า อันตรายต่อการดำรงอยู่ในเวทีการเมืองไทยเสียแล้ว

 

กล่าวคือ ภูมิใจไทย ได้ส.ส. 71 คน พลังประชารัฐ ได้ ส.ส. 41 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ ส.ส. 36 คนพรรคประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส. 24 คน ทั้งที่คาดหวังว่า พรรคภูมิใจไทย ที่ทั้งพลังดูดอดีตส.ส. และพลังกัญชา ค่อนข้างมาแรง จะเข้าป้ายอันดับ 2 เป็นอย่างน้อย และได้ส.ส.หลัก 100 ขึ้นไป กลับถูกกระแส “ก้าวไกล” บดบี้ขยี้แหลก ไม่มีดี 

 

อาจด้วยเหตุนี้ เกมการเมืองหลังเลือกตั้งจึงเปลี่ยนไป และดีลสำคัญ นำ “ทักษิณ” กลับไทย จึงเป็น “ภารกิจยิ่งใหญ่” ที่จะนำพลพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมือง “ขั้วอำนาจเก่า” สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

 

แต่ทว่า “ทักษิณ” เอง ก็มีภารกิจส่วนตัว ที่จะต้องสะสางด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การพา “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องโทษ หนีไปอยู่ต่างประเทศเช่นเดียวกับ “ทักษิณ” ทำอย่างไร จะกลับไทยโดยไม่ต้องติดคุก จะเอา “โมเดล” ของ “ทักษิณ” ซึ่งอ้างป่วยหนักและอายุกว่า 70 ปี มาใช้ก็คงไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงกระแสต่อต้านที่จะตามมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ “ทักษิณ” จะต้องหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างมากแน่นอน? 

 

เรื่องต่อมา คือ การผลักดัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ได้ หลังจากผลักดันนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างไม่ยากเย็นมาแล้ว และแน่นอน ผลการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ และครั้งสำคัญของ “ครอบครัวชินวัตร” เพื่อให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเร็วที่สุด ก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลาออก ก่อนครบวาระ เพื่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯของ “อุ๊งอิ๊ง” แต่ก็อาจไม่ยั่งยืน ตราบใดที่กระแสพรรคเพื่อไทย ยังสู้ “ก้าวไกล” ไม่ได้ 

 

หากทั้ง ภารกิจกอบกู้พรรคเพื่อไทยและขั้วอำนาจเก่า กับ ภารกิจส่วนตัว พา “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย และผลักดันให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องทำในเวลาเดียวกัน เชื่อแน่ว่า เหนื่อย! เพราะจะเจอกับแรงเสียดทานทางการเมืองอย่างมากมายมหาศาล รอบด้าน ทั้งภายนอก-ภายใน ก็ว่าได้ 

 

นี่ยังไม่นับกระแสโจมตี กรณี “ทักษิณ” ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 3 คดี 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ติดคุกจริงไม่ถึง 1 วัน(ในเรือนจำ) 

 

เนื่องจากอ้างอาการป่วยกำเริบ จนถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึง 180 วัน และได้รับ “พักโทษ” กรณีพิเศษ ราวกับว่ามีการวางแผนกันมาก่อนแล้ว ที่จะไม่ต้องติดคุก? 

 

ดังนั้นแทบไม่ต้องสงสัย หากมีกรณี “ยิ่งลักษณ์” ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจาก “ทักษิณ” โดยมีการวางแผนช่วยไม่ให้ติดคุก ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอย่างใกล้ชิดของหลายฝ่าย และข้ออ้างที่มีช่องว่างไม่สมเหตุสมผล ท้าทายต่อการทำผิดกฎหมาย กระแสโจมตีจะต้องทวีขึ้นเป็นสองเท่า จากที่โจมตีกรณีทักษิณอยู่แล้ว 

 

ที่สำคัญ ย่อมมีผลอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงต่อกระแสความนิยมพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยตามไปด้วย 

 

กลับมาที่ประเด็นกอบกู้พรรคเพื่อไทย และขั้วอำนาจเก่า ให้กลับมายิ่งใหญ่ในเวทีการเมืองไทย ถ้าฟังจาก ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อดีตคณบดีสาขารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567 นับว่าน่าคิดเหมือนกัน   

 

กรณีถามว่า ภารกิจของคุณทักษิณ ส่วนหนึ่ง คือการกลับมาช่วยดึงกระแสของพรรคเพื่อไทยให้พุ่งสูงขึ้น ดังนั้นจนถึงวันนี้ กระแสของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร

 

ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ชี้ให้เห็นว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่ดีขึ้น ทราบว่า นิด้าโพล มีการทำการสำรวจเอาไว้ในช่วงแรก ที่คุณทักษิณ ไปเชียงใหม่ คาดว่าไตรมาสที่ 2 จะมีการทำโพลอีกรอบหนึ่ง โดยส่วนตัวก็รู้จักกับอาจารย์นิด้า ที่ทำโพล ท่านบอกว่า น่าจะลำบาก ในเรื่องกระแสของคุณทักษิณ ซึ่งผมเองได้ลองหาข้อมูล วิเคราะห์ด้วยตัวเองว่า เป็นเพราะอะไร พบว่า คุณทักษิณวันนี้ ไม่เหมือนวันก่อน ฐานทางการเมือง มีผลกระทบเพราะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว คนที่จะมีอำนาจแท้จริงคือคนที่ต้องเข้าไปมีอำนาจทางการเมือง

 

แม้ว่าต่อไป น.ส.แพทองธาร จะได้ขึ้นเป็นนายกฯ ส่วนคุณทักษิณ ก็ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาด ซึ่งตอนนั้นคุณแพทองธาร อาจจะไปทำอะไรที่คุณทักษิณคุมไม่ได้ อาจจะยิ่งพาคุณทักษิณ แย่ไปด้วย

 

ประการต่อมา วันนี้สังคมเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สภาพคนไทยที่มีความรู้สึกนึกคิดเมื่อ 17-18 ปีที่แล้ว ที่เคยนิยมพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคพลังประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ใช่กระแสทักษิณฟีเวอร์ คลั่งพรรคไทยรักไทยจนมีเหตุการณ์ทะเลาะกัน คนเสื้อแดงออกไปเชียร์คุณทักษิณมากมายก็น่าจะเสื่อมลง อย่างล่าสุดที่คุณทักษิณ เดินทางไปเชียงใหม่ เราก็ยังพบว่า มีคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งออกมาตะโกนต่อว่าคุณทักษิณ ดังนั้นเป็นภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า คุณทักษิณ ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนก่อน

 

ประการที่สาม สภาพการเมืองที่กำลังจะเคลื่อนที่ไป เป็นคนละแบบ หากพูดในเชิงรัฐศาสตร์ บอกได้ว่า กระแสในยุคคุณทักษิณได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งวันนี้ มีการบ้าคลั่งผู้นำสมัยใหม่ นิยมอุดมการณ์สมัยใหม่มากกว่า อย่างพรรคก้าวไกล มีผู้นำที่โดดเด่น และยังมีอุดมการณ์ที่โดดเด่นด้วย เข้าใจคนรุ่นใหม่ ซึ่งแน่นอนว่ากระแสเช่นนี้ไม่ใช่กระแสของคุณทักษิณแล้ว มองแล้วการที่คุณทักษิณ จะกอบกู้พรรคเพื่อไทยนั้นยากมาก จุดนี้น่าจะเรียกว่า เป็นจุดเสื่อมบารมีของคุณทักษิณ ก็ได้

 

หากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป อาจจะเป็นปีนี้หรือปีหน้า ผมเชื่อว่า คุณทักษิณจะไม่สามารถพาพรรคเพื่อไทยได้เสียงเพิ่มขึ้น จะยิ่งทำให้คุณทักษิณ เสื่อมบารมีลงไปทันที ส่วนคนในพรรคเพื่อไทยที่คิดว่าจะเอาคุณทักษิณ มาช่วยก็จะเริ่มมองเห็นแล้วว่า เริ่มแย่ ผมเชื่อตัวคุณทักษิณเองก็คงไม่กล้าทุ่มเทเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ดังนั้นจะช่วยพรรคเพื่อไทยได้ไม่มาก

 

“คุณทักษิณ เป็นคนที่ทำตัวเอง ชอบกำหนดชะตา เป็นคนที่บงการชีวิตตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับอะไร ฟ้าดินก็คงกำหนดชีวิตคุณทักษิณไม่ได้ ฉะนั้นคุณทักษิณ ก็จะพังเพราะตัวของเขาเอง เพราะเชื่อมั่นสูง เชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป จะนำไปสู่การหน้ามืด ตามัว”

 

ถ้าเป็นไปตามที่ ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล วิเคราะห์ สิ่งที่น่าคิดต่อไปก็คือ โอกาสที่จะกอบกู้ “ขั้วอำนาจเก่า” ผ่านการเดินเกมของ “ทักษิณ” จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? 

 

ยิ่งเมื่อหันไปมองคู่ต่อสู้อย่าง “ก้าวไกล” แม้ว่า จะมีกระแส “ยุบพรรค” จากกรณีเสนอแก้ไข ป.อาญา ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เวลานี้ “กกต.” ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว คาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีคำวินิจฉัย แต่ปรากฏว่า ผลโพลของทุกสำนัก ที่ออกมากระแสความนิยมต่อพรรคก้าวไกลกลับพุ่งทะยานไม่ตก ควบคู่ไปกับ กระแสความนิยมของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ติดลมบน ทิ้งห่างกระแสความนิยมของ นายเศรษฐา และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร แบบไม่เห็นฝุ่น

 

ทั้งที่พรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้แสดงผลงาน ฝีไม้ลายมือใน การเป็น “ฝ่ายค้าน” ที่แข็งแกร่ง ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นออกมาให้เห็นมากนัก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? 

 

แต่ก็ยังเหลือหนทางให้พอได้ลุ้นอยู่บ้าง จากการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) “เศรษฐา 2” หากสามารถแก้ปัญหาประชาชน มีผลงานได้น้ำได้เนื้อ รัฐมนตรี “ถูกฝาถูกตัว” กับความรู้ความสามารถที่มี ไม่ใช่ ยัดคนของตัวเอง เข้าไปเพื่อ “เบ่งบารมี” ให้ชาวประชาหมั่นไส้เข้าไปใหญ่

 

รวมถึง สามารถดำเนินโครงการตาม นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ครอบคลุมจำนวนคนนับ 50 ล้านคน ได้สำเร็จ ซึ่ง เชื่อว่า คนอย่าง “ทักษิณ” ไม่กลัวความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายอยู่แล้ว อดีตที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีรัฐมนตรีและข้าราชการ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ติดคุกจากโครงการรับจำนำข้าว อย่าลืมว่า สโลแกนก็คือ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” 

 

เว้นเสียแต่ ต่อให้ “10 ทักษิณ” อดีตก็ไม่หวนกลับมาแล้ว ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือ “ขั้วอำนาจเก่า” ก็ต้องยอมรับความเป็น “อนิจจัง” เท่านั้นเอง