EPG ตั้งเป้ายอดขายปี65/66โต 12 – 15% จากทุกกลุ่มธุรกิจ
EPG ตั้งเป้ายอดขายปี 65/66โต 12 – 15% เน้นการเติบโตจากทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมทุ่ม 1.8 พันล้าน ซื้อกิจการเพิ่มเติมในออสเตรเลียเพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เผยว่าบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 12 - 15% และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29 - 32% จากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจ
แบรนด์ Aeroflex ในธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10 - 12% จากการรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าเกรดพรีเมี่ยมทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น และลงทุนใน Aeroflex USA Inc. สหรัฐอเมริกา ในเครื่องจักรระบบอัตโนมัติความเร็วสูงเพื่อลดต้นทุนการผลิตและขยายกำลังการผลิต
โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นที่ 8,000 ตันต่อปี พร้อมขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system
แบรนด์ Aeroklas ในธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20 - 23% เน้นลูกค้ากลุ่ม OEM ค่ายยานยนต์ของยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Aeroklas ได้รับประโยชน์จากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก กำลังมุ่งไปทางยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตยานยนต์ต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีมาตรฐานสูง ปลอดภัย และ น้ำหนักเบา
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการยานยนต์ประเภท Light Commercial Vehicle และ SUV ในออสเตรเลีย โดยเมื่อ 1 เม.ย.65 TJM Products Pty.Ltd. (TJM) ออสเตรเลีย เปลี่ยนชื่อเป็น Aeroklas Asia Pacific Group (AAPG) โดยมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเสริมการทำงานร่วมกันของธุรกิจและทุกแบรนด์ในออสเตรเลียในอนาคต
ด้านแบรนด์ EPP ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 5 - 8% เน้นกลยุทธ์ “Capacities Driven” ในกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และการทำตลาดในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่มอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ EPP ผ่านการสื่อสารแบบออนไลน์ และ ออฟไลน์
นอกจากนี้ การดำเนินงานด้านวิจัยและพัฒนาของบริษัท อีพีจี อินโนเวชัน เซ็นเตอร์ จำกัด ไม่เพียงแต่สนับสนุนธุรกิจหลักทั้ง 3 ธุรกิจ ด้วยการสร้างสินค้านวัตกรรม New S-Curve แต่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสินค้านวัตกรรมสำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่ในอนาคต
ดร.ภวัฒน์ กล่าวว่า “การซื้อกิจการครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มสินค้า อีกทั้ง แบรนด์ “Tough Dog” ที่มีชื่อเสียงที่ดีในด้านคุณภาพสินค้า และช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศออสเตรเลีย และต่างประเทศ รวมถึงเกิด synergy ในการลดต้นทุน และ เพิ่มรายได้กับธุรกิจในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม สำหรับ EPG ซึ่งทำธุรกิจในตลาดโลก ยังมีความท้าทายจากสถาการณ์ความขัดแย้งในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทั้งจากราคาพลังงานและโภคภัณฑ์สูงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น จึงมุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 ด้าน
โดยการสร้างการเติบโตแบบ Organic Growth จากธุรกิจหลักด้วยความพร้อมด้านเทคโนโลยี กำลังการผลิตทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูง สามารถสร้างสรรค์สินค้านวัตกรรมให้เกิดความต่อเนื่องของ New S-Curve
รวมถึงการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด เพิ่มการลงทุน M&A และ Joint Venture พร้อมเพิ่มงบลงทุนในธุรกิจวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ในอนาคต และตั้งเป้าหมายระยะยาว ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ "net zero" ภายในปี 2585