TOP ขอหลบ |ออฟเรคคอร์ด

TOP ขอหลบ |ออฟเรคคอร์ด

หุ้น TOP เห็นราคาหุ้นมีรีบาวด์กลายเป็นจังหวะช้อน แต่รอบนี้ไม่ไหวเพราะค่าการกลั่นยังำม่จบ แต่ไม่ซ้ำเติมคือถอยประกาศราคาเพิ่มทุนและ XB ไปก่อนแบบไร้กำหนด

๐๐๐ TOP ขอหลบ

      หลังจากกระแส “ฉก” ทั้ง “ไถ่” ค่ากลั่น ที่พุ่งสูงในช่วงนี้มาช่วยประคองราคาน้ำมันลดผลกระทบกับประชาชนทำเอาหุ้นโรงกลั่น หวาดผวา

        ราคาหุ้นจากที่เป็น “ขาขึ้น” พลิกเป็น “ขาลง” ด้วยระดับความเร็วลิฟท์สูงสุดเลยที  ก็จะให้บวกยังไวไหวในเมื่อยังไม่ชัดเจนจะอาศัยช่องทางกฎหมายตรงไหนมาดึงค่าการกลั่น  เพราะปัจจุบันมี กฎหมายคุ้มครอง เป็น ตลาดเสรี ทำให้แทรกแซงได้ยาก

      ถ้าไม่ออกมาในรูปแบบ  “ขอความช่วยเหลือ” เหมือนในอดีตที่ผ่านมา !!

      หนักสุดหนีไม่พ้น TOP โดนหนักเพราะเจอกระหน่ำจากประเด็นดังกล่าว  รวมไปถึงใกล้ช่วงเตรียมประกาศราคาเพิ่มทุน จากการ “Book building”  จำนวน 275 ล้านหุ้น

       ตามกำหนดการจะออกมาพร้อมกับขึ้นเครื่องหมาย XB วันที่ 15 ก.ย. นี้ แต่สถานการณ์กดดันจากค่ากลั่นมีแนวโน้มจะลดตามนโยบายรัฐที่จะเข้ามาแทรกแซง ราคาเพิ่มทุนที่ออกมาไม่น่าจะสวยเท่าไรจากที่จะได้เห็น 60 บาท ราคาหล่นตุ๊บ “ต่ำกว่า 50 บาท” ได้ง่ายๆ 

       เลยต้องเลือก หลบ ขอ เลื่อน ขึ้น XB และราคาแบบไม่มีกำหนดไปเลยดีกว่า... 

 

๐๐๐

หุ้นไทยสวมหัวใจสิงห์ ท่ามกลางแรงถล่มขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก แต่ตลาดบ้านเรายังประคองตัวยืนแดนบวกได้อยู่ อย่างไรก็ตามไม่ควรชะล่าใจ ยังมีโอกาสถูกเทขายได้ทุกเมื่อ

โดยดัชนีฯ ปิดการซื้อขายที่ 1,603.03 จุด เพิ่มขึ้น 2.97 จุด หรือ 0.19% ระหว่างวันแตะระดับสูงสุดที่ 1,605.53 จุด และระดับต่ำสุดที่ 1,590.75จุด มูลค่าการซื้อขาย 63,139.45 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติซื้อ 276.41 ล้านบาท พอร์ตโบรกฯ ซื้อ 12.44 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อ 435.13 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขาย 723.98 ล้านบาท

๐๐๐

“หุ้นโรงกลั่น” มีแรงซื้อกลับ หลังยังไม่มีข้อสรุปเรื่องการปรับลดค่าการกลั่น ขณะที่ตามหลักการแล้วต้องยอมรับว่าทำได้ยาก เนื่องจากค่าการกลั่นเป็นไปตามกลไลตลาดเสรี เมื่อยังไม่ชัดเจนและดูทำได้ยากหุ้นเลยเด้งกลับ

นำโดยบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ปิด 54.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.87% โดยล่าสุดยังได้เลื่อนวัน XR กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนออกไปก่อนจากเดิม 16 มิ.ย. นี้ รอให้ภาวะตลาดมีความเหมาะสม ส่วนบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ตามมาติดๆ ปิด 12.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 4.24%

๐๐๐

“เงินบาท” อ่อนค่าที่สุดในรอบกว่า 5 ปี จ่อทะลุ 35 บาท/ดอลลาร์ กลายเป็นปัจจัยบวกให้กับหุ้นส่งออก และที่เป็นพระเอกรอบนี้ต้องยกตำแหน่งให้กับ “หุ้นส่งออกอาหาร” หลังทั่วโลกประสบวิกฤตขาดแคลนอาหาร แต่กลับกลายเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ครัวของโลก”

แต่ละตัวยังทำผลงานได้ดี นำโดยพี่ใหญ่ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ปิด 26.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.96% บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) ปิด 17.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 2.87% ด้านบมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ปิด 5.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 7.84% ส่วนบมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ไม่น้อยหน้า ปิด 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 2.35%

๐๐๐

ขณะที่หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ บมจ.สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) เอาตัวรอดไปได้ เพราะตอนแรกนึกว่าเปิดมาตลาดจะดิ่งหนัก แต่กลับประคองตัวได้ เลยกลายเป็นจิตวิทยาเชิงบวกให้กับหุ้นน้องใหม่ป้ายแดงไปด้วย เปิดเทรดเหนือจอง 20 บาท เพิ่มขึ้น 11.11% โดยระหว่างวันไปแตะจุดสูงสุด 22.10 บาท ต่ำสุด 18.40 บาท ก่อนปิดการซื้อขาย 18.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 4.44%

๐๐๐

ส่วนวันนี้ (15 มิ.ย.) บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) ได้ฤกษ์ดี ย้ายกระดานเทรด กระโดดลงสู่สนามใหญ่ SET เป็นวันแรก หลังโลดแล่นอยู่ในตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) มากว่า 3 ปี ถือเป็นสตอรี่ใหม่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับบริษัท โดยเฉพาะการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ