ถอดสูตรสำเร็จ Studio Dragon สู่ช่อง 3 ปลดล็อกการผลิตคอนเทนต์ลุยโลก

ความพยายามครั้งใหม่ของ "ช่อง 3" กับการปั้น "บีอีซี สตูดิโอ" ที่ขอนำบทเรียนความสำเร็จของยักษ์ใหญ่ "Studio Dragon" มาปลดล็อกการผลิตคอนเทนต์ไทย คิดใหญ่ ระดับโลก เพื่อทะลวงขุมทรัพย์คอนเทนต์เสิร์ฟแพลตฟอร์มโอทีทีมูลค่ามหาศาล
หากใครชื่นชอบการดูซีรีย์เกาหลีผ่านแพลตฟอร์มโอทีที(Over The Top)ยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix จะรู้ดีว่าเจ้าแห่งผู้ผลิตคอนเทนต์(Content Provider)ต้องยกให้สตูดิโอ ดราก้อน(Studio Dragon) ซึ่งอยู่ใต้อาณาจักรของสื่อบันเทิงอย่าง CJ Entertainment หนึ่งในบริษัทของ CJ Group มีศักดิ์ศรีเป็นถึงกลุ่มบริษัทใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในประเทศเกาหลีใต้(Chaebol)
ในฐานะผู้ผลิตคอนเทนต์ เชื่อว่าหลายองค์กรย่อมอยากเดิยรอยตาม Studio Dragon เพราะไม่เพียงสร้างสรรค์ซีรีย์จนโด่งดัง แต่บริษัทสามารถทำเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว และประสบความสำเร็จในตลาดโลก
หากเช็กลิสต์ซีรีย์จาก Studio Dragon มีมากมาย เช่น Crash landing on you, My mister, Start up Ghost Doctor, Twenty-five, Twenty-one, Our Blues และ Eve เป็นต้น
ทว่า ความสำเร็จไม่มีสูตรให้ลอก! แต่ผู้ผลิตสามารถถอดบทเรียน เพื่อนำไปประยุกต์ พัฒนากับองค์กรของตัวเองได้
ช่อง 3 หรือ “บีอีซี เวิลด์” คืออาณาจักรสื่อและความบันเทิงยักษ์ใหญ่ไทยอยู่ภายใต้ตระกูล “มาลีนนท์” ในยุคเฟื่องฟู สามารถสร้างรายได้เป็น “หมื่นล้านบาท”
แต่ปัจจุบันบริบทธุรกิจสื่อเปลี่ยนรุนแรงมาก จากพายุดิจิทัลถาโถม และการทรานส์ฟอร์มทีวีอนาล็อกสู่ทีวีดิจิทัลด้วยการประมูลแสนแพง สวนทางกับผู้คนดูรายการผ่านทีวีออกอากาศสดลดลง และย้ายไปเสพสื่อ คอนเทนต์โปรดผ่านออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้สื่อดั้งเดิมรายได้หดหายอย่างหนัก การปรับตัวเพื่ออยู่รอดในยุคท้าทาย เกิดขึ้นต่อเนื่อง
ช่อง 3 เคลื่อนธุรกิจเกิน 50 ปีแล้ว พลิกหลายกระบวนท่า ปรับหลาย “แม่ทัพ” ทว่า แผนธุรกิจครั้งใหม่น่าจับตา เพราะมีการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่ผลิตคอนเทนต์เต็มสูบ ภายใต้ “บริษัท บีอีซี สตูดิโอ จำกัด”
พร้อมกันนี้ได้ อภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง มานั่งกรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจ บีอีซี สตูดิโอ ได้ 1 ปีแล้ว ซึ่งเจ้าตัวมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ “CJ” ผ่านบริษัทร่วมทุนระหว่างทรูกับ CJ E&M อย่าง “ทรูซีเจครีเอชั่น” เพื่อสร้างสรรค์ซีรีย์ ละครมาก่อน
บ้านหลังใหม่ “อภิชาติ์” มีภารกิจสำคัญเคลื่อนบีอีซี สตูดิโอ สู่การปลดล็อกศักยภาพการผลิตคอนเทนต์
การทำงานกับ CJ ทำให้ได้องค์ความรู้ติดตัว และการหารือกับพันธมิตรต่างประเทศจำนวนมาก การตั้งคำถาม..ทำไม? คอนเทนต์ของเกาหลีใต้พัฒนารุดหน้าเร็วมาก และอะไรทำให้คอนเทนต์เกาหลีทรงอิทธิพลในตลาดโลก
คำตอบที่ได้ ไม่ใช่แค่ “ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุน” แต่การมีสิ่งอำนวยความสะดวก(Facilities)เป็นหัวใจสำคัญมาก
“จากแดจังกึมจุดพลุ(ออกอากาศปี 2546)วันนี้ซีรีย์เกาหลีพัฒนาไปเร็วมากโดยมีคนดูเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญด้วย ทำให้ผู้ผลิตพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขณะที่ประสบการณ์ทำซีรีย์(Voice, Unlucky Ploy เวอร์ชั่นไทย) เกิดการศึกษาหาความรู้ เกิดไอเดียว่าหากต้องยกระดับคอนเทนต์ไทยไปต่างประเทศ ต้องมีองค์ประกอบหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือสิ่งอำนวยความสะดวก”
เมื่อมีเป้าหมายลุยตลาดคอนเทนต์โลกซึ่งมีมูลค่ามหาศาล จากการเกิด “โอทีที” แต่จะไปขายซีรีย์ ละคร ภาพยนตร์ให้คนทั้งโลกดู หากบริษัทมี “จุดอ่อน” ต้องกำจัด เพื่อ “ปลดล็อกข้อจำกัด” ที่มี 4 องค์ประกอบนำไปสู่การผลิตคอนเทนต์จึงคิกออฟ
1.ทุ่มทุน 400 ล้านบาท พัฒนาและปรับโฉมสตูดิโอหนองแขมบนเนื้อกว่า 72 ไร่ มีการสร้างตูดิโอสำหรับถ่ายทำ(Sounstage Studio)จำนวน 6 สตูดิโอ หลากไซส์ ทั้งขนาด 2,000 ตารางเมตร(ตร.ม.)จำนวน 2 สตูฯ 1,500 ตร.ม. จำนวน 2 สตูฯ และ 800 ตร.ม. อีก 2 สตูดิโอ
Soundstage Studio จะทลายข้อจำกัดเดิมๆในการถ่ายทำละคร ซีรีย์ของช่อง 3 ซึ่งแต่ละเรื่องกินเวลาถ่ายทำนาน 7-8 เดือน เพราะต้องพึ่งพิงสถานที่ถ่ายจริง ซึ่งนับวันการเช่าโลเกชั่นแพงขึ้นเรื่อยๆ รอแสง สี กลางวัน กลางคืน จึงกินเวลาถ่ายต่อวันถึง 10 ชั่วโมง(ชม.) ระยะเวลาทั้งหมดเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ใช้เวลา 90-120 วันเท่านั้น
การ “ลดระยะเวลา” ในการถ่ายทำ ไม่เพียงทำให้สร้างสรรค์ผลงานต่อปีได้มากขึ้น แต่ยังช่วย “ลดต้นทุน” ได้อีกมหาศาล
อย่างไรก็ตาม การจะคิด เขียนบทได้ระดับโลก ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเชิญ “กูรู” จากหลายประเทศมาถ่ายทอดองค์ความรู้ ทั้งด้านการวิเคราะห์ตัวละคร การเล่าเรื่องแบบสากล การไล่เส้นเรื่องสู่ความเสี่ยง ไปจนถึงไคลแม็กซ์ ฯ
“สร้างบ้านต้องมีแบบ สร้างละครต้องมีบท บทคือหัวใจสำคัญ จึงนำสิ่งที่เรียนรู้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เชิญคนเขียนบทต่างชาติช่วยพัฒนาให้งานเรามีคุณภาพเทียบเท่าสากล”
บีอีซี สตูดิโอประเดิมผลิตละคร 3 เรื่อง มือปราบกระทะรั่ว, เกมโกงเกมส์, ร้อยเล่ม เกมส์ออฟฟิศ ป้อนคนดู
3.การผลิต ได้สร้างทีมงานภายใน(Internal)ให้แข็งแกร่งเป็นลำดับแรก ก่อนปูทางสู่การกรุยตลาดโลก จึงมีโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ ฯ เบื้องต้นมี 40 ชีวิตพร้อมสร้างสรรค์ละคร ซีรีย์แบบออริจินัล คอนเทนต์ ประเดิม 3 เรื่องนำร่อง ได้แก่ มือปราบกระทะรั่ว และเกมโกงเกมส์ โดยเรื่องร้อยเล่ม เกมส์ออฟฟิศ เป็นการผลิตร่วมกับผู้จัด “ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์” ทั้งหมดจะออกอากาศทางช่อง 3 แพลตฟอร์มออนไลน์ และขายสู่ตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม 3 เรื่องเบิกฤกษ์ผลิต แต่ศักยภาพของบีอีซี สตูดิโอ สามารถผลิตละคร ซีรีย์ได้ 10 เรื่องต่อปี ขณะที่ช่อง 3 แต่ละปีมีผู้จัดผลิตละครป้อนช่อง 20-25 เรื่องต่อปี
“จุดเริ่มต้นก่อนขยายธุรกิจ ต้องสร้างทีมงานผลิตข้างในให้แข็งแกร่งด้วยกาพัฒนา ยกระดับกระบวนการผลิตให้ได้”
สิ่งอำนวยความสะดวกที่ 4.ทีมงานทำเบื้องหลังการถ่ายทำ(Internal Post-production) และคอมพิวเตอร์กราฟฟิก(CG) ทีมงานปรับแสง ปรับสี ทำเอฟเฟ็กต์ฟ้าร้องฝนตก ฯ เพื่อทำให้องค์ประกอบภาพมีความสมบูรณ์แบบ เวลาไปโชว์ผลงานในต่างประเทศจะได้ต่อกรกับนานาประเทศได้
ผู้ผลิตเดินหน้ายกเครื่องตัวเอง ด้านพฤติกรรมคนดูเป็นอย่างไร “อภิชาติ์” ฉายภาพว่า โลกไร้พรมแดนทำให้ผู้ชมเสพคอนเทนต์ใหม่ๆจากทั่วทุกมุมโลก โดยมี “โอทีที” เปิดโลกทัศน์ให้
“การผลิตคอนเทนต์บ้านเรามีช้อจำกัดเยอะ รอแสง ถ่ายกลางคืน มีโอที เราจึงต้องทำให้ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกปลดล็อกก่อน ส่วนการสร้างคอนเทนต์ต้องมอง 2 ตลาดพร้อมกัน ทำให้คนไทยชอบ และส่งออกไปขายต่างประเทศได้ ซึ่งการพัฒนาซีรีย์ ละคร เราต้องนั่งอยู่ในใจคนดูมากขึ้น”
หนึ่งในผลงานของ Studio Dragon
ถอดสูตรสำเร็จ “Studio Dragon” แค่ส่วนหนึ่งของการปลดล็อกช่อง 3 ให้ผลิตคอนเทนต์แกร่งทัดเทียมโลก-ผู้ชม โดยผ่านภารกิจของ “บีอีซี สตูดิโอ” แต่ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอื่นๆ มาช่วยติดอาวุธให้บริษัทด้วย เช่น KAKAO Entertainment ของเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้รังสรรค์ซีรีย์ดังอย่าง Business Proposal Vincenzo ฯ ได้นักเขียนบทชาวอเมริกันมาร่วมงานถ่ายทอดความรู้การเขียนบท ได้ ผู้บริหารมากประสบการณ์จากธุรกิจสื่อสัญชาติอเมริกันมาช่วยเปิดตลาดต่างประเทศ
การปลดล็อกการผลิตคอนเทนต์จึงเป็นโอกาสทองทำเงินในอนาคต หรือเป็น New S-Curve ให้กับช่อง 3 ในการสร้างรายได้เติบโตในเวทีโลก ที่นับวันตลาดโอทีทีต้องการคอนเทนต์หลากหลายและน้ำดีมากขึ้นด้วย
“สิ่งที่เราเรียนรู้จากเกาหลีใต้ วันที่ธุรกิจคอนเทนต์เขาเติบโต ก็เริ่มจากทำขายในประเทศ แต่ถึงจุดหนึ่งตลาดไม่โตไปกว่านี้ วิธีการคิดของ Studio Dragon คือการขายคอนเทนต์ไปตลาดต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ได้งบประมาณ เพื่อผลิตคอนเทนต์ที่ดีมากขึ้น พัฒนาคนให้เก่งขึ้น และอุตสาหกรรมบันเทิงไทยจะไปต่อได้ เราต้องคิดและทำตัวเองให้เป็น Global มากขึ้น”