"หกเซียน" กด Like หุ้นไทย ครึ่งหลัง "ลุ้นพุ่งต่อ"

"หกเซียน" กด Like หุ้นไทย ครึ่งหลัง "ลุ้นพุ่งต่อ"

ลุ้นโรดแมพคสช.ดันหุ้นไทย 6 เดือนหลังเคลื่อนต่อ เซียนหุ้น “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” เชื่อเช่นนั้น

ทันทีที่ “ความเสี่ยงถูกกำจัด” โดยเฉพาะเรื่องการเมืองวุ่นวาย หุ้นไทยถือเป็นตลาดลงทุนแรกๆ ที่มีปฏิกิริยาในเชิงบวก เห็นได้จาก SET INDEX ที่ทยอยขยับขึ้น จาก “จุดต่ำสุด” 1,205 จุด (ตัวเลขเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2557) มาสร้าง “จุดพีท” ระดับ 1,534 จุด (ตัวเลข ณ วันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา) แม้จะยังไม่สามารถขยับไปยืน “จุดสูงสุดเก่า” ที่เคยทำได้เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ในระดับ 1,643 จุด

แต่คนในแวดวงตลาดหุ้นมองว่า “นี่คือสัญญาณที่ดี”

สถานการณ์คลี่คลาย ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยหลายตัวตกอยู่ในโซน “ของแพง” นักลงทุนหลายรายแห่เข้ามาลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช.

แต่เมื่อ “มีบวกต้องมีลบ” ถือเป็นสัจธรรม เพราะนโยบายบางอย่างของคสช. ทำให้ “ราคาหุ้นบูลชิพบางตัว” ปรับตัวลดลงต่ำกว่าพื้นฐาน โดยเฉพาะแผนปฎิรูปพลังงานที่ทำให้ ราคาหุ้นครอบครัวปตท.เสียศูนย์ แต่จังหวะสะดุดครานี้ นักลงทุนทุกไซด์ไม่พลาดที่จะหาโอกาสช่วงชิง "ของถูก" เข้าพอร์ต

หุ้นไทยครึ่งปีหลังมีโอกาส “ทุบสถิติใหม่” หรือไม่ ?

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย หรือ VI ตอบคำถามนี้กับ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ว่า ขอให้คะแนนความน่าสนใจตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2557 ระดับ “ปานกลาง” เพราะดูท่าทางดัชนีคงไม่ร้อนแรงเหมือนที่ผ่านมา หลังราคาหุ้นหลายตัวแพงเกินไป

แต่ประเด็นเรื่องการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจเมืองไทยและเศรษฐกิจโลก รวมถึงการขยายตัวที่ดีของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจเป็น “สตอรี่สำคัญ” ที่จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนหุ้นไทยมากขึ้น

“ดอกเตอร์” ไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ให้ฟังว่า ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัว ฉะนั้นเชื่อว่าประเทศเหล่านี้คงยังไม่มีมาตรการขึ้นดอกเบี้ย และยังไม่มีการเข้มงวดด้านการเงิน เพราะสภาพคล่องในตลาดยังดี ส่วนปัจจัยภายในประเทศคงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองอีก ที่ผ่านมาต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาเยอะ คิดว่าคงจะไม่ขายออกมาอีก แต่น่าจะกลับเข้ามาซื้อเพิ่มเติมมากว่า

“แม้หุ้นไทยบางตัวจะมีราคาแพงเกินไป แต่ยังมีสตอรี่ให้เล่น เพียงแต่นักลงทุนอาจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ด้วยการเลือกหุ้นรายที่ดี หากนักลงทุนคนใดสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง ก็จัดพอร์ตการลงทุนให้มีหุ้นเกิน 50 เปอร์เซ็นต์”

“ดร.นิเวศน์” บอกว่า หากเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นๆ ยอมรับว่า หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจน้อยกว่า เพราะหุ้นไทยหลายตัวแพงเกินไป เขาย้ำ ส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีในปี 2557 อาจยืนระดับ 1,600 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปัจจุบัน "ไม่เกิน 100 จุด"

สำหรับกลุ่มที่น่าเข้าไปลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คงเป็น “กลุ่มการบริโภคอุปโภค” เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวประชาชนจะเริ่มเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย จากเดิมที่กำลังซื้อชะลอตัว หลังไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองไทย

“กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” ถือเป็นอีกตัวที่น่าสนใจ เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ผลประกอบการมักอ้างอิงกับโครงการพื้นฐานที่กำลังจะอนุมัติออกมา นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มส่งออก” และ “กลุ่มพลังงาน” เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้น ฉะนั้นคงส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานแน่นอน

ส่วนหุ้นที่มี “ความผันผวน” น่าจะเป็น “กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์” หุ้นกลุ่มนี้ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก เพราะว่าอยู่ในธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นักลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวควรจะมีความรู้เรื่อง “วัฏจักร” ของธุรกิจ

ถามถึงความน่าสนใจระหว่าง “หุ้น-ทองคำ-ที่ดิน-พันธบัตร” “เซียนหุ้น VI” ตอบว่า ตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดอื่นๆ อย่างตลาดทองคำตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ที่ผ่านมาทองคำมีราคาสูงมาก ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่า ราคาทองจะขึ้น ซึ่งตลาดทองคำมี “วัฏจักร” ของตัวเอง และกว่าจะกลับมาต้องใช้เวลาอีกนาน

แม้วันนี้จะไม่สามารถเดาทางได้ว่า เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติจะกลับมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และจะกลับมาเท่าที่ขายหุ้นไทยออกไปประมาณ 45,000 ล้านบาทหรือไม่ (ตัวเลขนี้เกิดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา)

แต่สัญญาณการซื้อสุทธิของต่างชาติประมาณ 15,000 ล้านบาท ที่เริ่มกลับมาในช่วง 2 สัปดาห์ก่อน ทำให้เชื่อได้ว่า สถานการณ์ต่างๆในเมืองไทยที่เริ่มดีขึ้นจะเป็น “ตัวกระตุ้น” ให้ต่างชาติหันมาสนใจหุ้นไทยเหมือนเคย แม้ที่ผ่านมาต่างชาติจะไปสร้างกำไรจากตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและแถบบยุโรปอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ตาม

เงินลงทุนของนักลงทุนสถาบันภายในประเทศน่าจะเป็น “แรงผลักชั้นเยี่ยม” ที่จะดัน SET INDEX ในช่วงครึ่งปีหลัง มากกว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อย แต่สุดท้ายดัชนีจะวิ่งไปแตะระดับ 1,700 จุด เหมือนที่นักวิเคราะห์หลายรายทำนายไว้หรือไม่คงยากที่จะคาดเดา

แต่มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความเข้มแข็งของนักลงทุนสถาบันการเงินน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักกว่าช่วงที่ผ่านมา วันนี้ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยเดินได้ด้วยเงินของนักลงทุนสถาบันภายในประเทศมากกว่าเงินของนักลงทุนต่างชาติ หรือเงินของนักลงทุนรายย่อย เพราะล่วงเลยมาป่านนี้แล้วเงินของนักลงทุนรายย่อยยังไม่กลับมาเลย เขาคงต้องการรอดูความชัดเจนหลายๆ เรื่อง

“นักลงทุนสถาบันภายในประเทศมีความแข็งแกร่งมากไม่เหมือนในช่วงวิกฤติสินเชื่อซับไพร์มที่เมื่อนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย 162,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือน SET INDEX บ้านเราปรับตัวลดลงอย่างมาก แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว”

ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนมีแนวโน้ม “โดดเด่นสุด” ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เขาหัวเราะก่อนตอบว่า เดี๋ยวนี้หุ้นดีๆ ดูเป็นรายกลุ่มเหมือนอดีตไม่ได้แล้ว พร้อมยกตัวอย่างว่า คุณลองย้อนดูในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนหลายคนหวาดกลัว “หุ้นพลังงาน” หลังคสช.มีแนวคิดจะปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน ส่งผลให้ราคาหุ้น ปตท.หรือ PTT ปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

แต่วันนี้ราคาหุ้น PTT กำลังไต่ระดับขึ้นมารับข่าวดีเรื่องราคาน้ำมัน

“หุ้น PTT ถือว่าน่าสนใจ เพราะราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หุ้นตัวใหญ่ๆ หลายตัว ก็น่าสนใจเช่นกัน” เขาพูดให้คิดต่อ

หุ้นที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร? “นิ้วโป้ง” ตอบว่า แม้วันนี้จะไม่สามารถแนะนำการลงทุนเป็นหุ้นรายตัวได้ เพราะดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่จะเล่าเป็นแนวทางสั้นๆ ให้ฟังว่า หากราคาหุ้นตัวนั้นตกอยู่ในลักษณะ “อันเดอร์แวลู” (ราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน) หรือกิจการของหุ้นตัวนั้นมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจ

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า หุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เขาตอบคำถามนี้ว่า เราต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพของหุ้นตัวนั้นก่อนจึงจะทำให้รู้ว่า ราคาหุ้นตัวนั้นถูกเกินไปหรือไม่ อธิบายง่ายๆ ว่า ลองเลือกหุ้นที่มีคุณภาพดี ราคาถูกมาไว้ในมือสัก 20 ตัว แล้วลองจัดสรรดูว่า หุ้นตัวไหนควรอยู่ในพอร์ตระยะสั้นและระยะยาว

ส่วนตัวจำกัดนิยามคำว่า ถือหุ้นระยะสั้นไว้ในช่วงเวลา 1-3 ปี ส่วนระยะยาว คือ 15 ปี ซึ่งหุ้นที่ถือระยะยาว ตั้งใจจะทำให้เป็นลักษณะ “ออมหุ้น” เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงเราจะรีบโดดเข้าไปเก็บ แม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะมีค่า P/E สูงถึง 30 เท่า แต่ถ้าเป็นหุ้นที่เข้าคอนเซปต์ก็จะไม่รีรอที่จะซื้อ เพราะเมื่อบริษัทนั้นสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นทุกปี ค่า P/E ก็จะปรับตัวลดลงมาเอง เหมือนหุ้น เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ที่มีค่า P/E สูงเกือบ 40 เท่า แต่นักลงทุนหลายคนก็ยังอยากลงทุน นั่นเป็นเพราะเขาเหล่านั้นมั่นใจว่า องค์กรจะยังเติบโตต่อไป

“เซียนหุ้น” บอกว่า ผ่านมา 7 เดือน พอร์ตลงทุนส่วนตัว ถือว่าประสบความสำเร็จสามารถโกยกำไรได้ตามที่หวัง เขาหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวเลข ด้วยการบอกว่า ยังไม่ได้คำนวณกำไร แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนออกมาดี นั่นเป็นเพราะ

“ผมโชคดีผสมกับมีความเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง”

ในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เราไม่พลาดขบวนรถไฟสายนี้ ด้วยการโดดเข้าซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ แต่เมื่อต่างชาติขายหุ้นออกในช่วงเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา เรายังคงยืนยันจะถือหุ้นต่อไป เพราะมั่นใจในพื้นฐาน บางครั้งไม่ควรเดินตามต่างชาติทุกฝีก้าว สุดท้ายความคิดของเราเดินมาถูกทาง (หัวเราะ)

“ถ้าต้นทุนของเราได้เปรียบคนอื่นต่อให้ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร เราย่อมแพ้ยาก”

เขาไม่พลาดที่จะแนะนำการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า สำหรับนักลงทุนที่มีต้นทุนความกลัวสูงกว่าคนอื่น ควรนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์ ควรแบ่งไปซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF และนำเงินไปฝากแบงก์ในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ย 2.7-3 เปอร์เซ็นต์

ส่วนนักลงทุนที่ “กล้าเสี่ยงปานกลางถึงกล้าเสี่ยงมาก” ควรนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 25 เปอร์เซ็นต์ แนะนำเหมือนนักลงทุนที่กลัวความเสี่ยง กลยุทธ์ลักษณะนี้น่าจะเหมาะในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557

“นิ้วโป้ง” ทิ้งท้ายด้วยการเล่าความคิดของตัวเองในช่วงที่การเมืองร้อนแรงให้ฟังว่า ในช่วงไตรมาส 4/2556-ไตรมาส1/2557 เราตั้งคำถามในใจว่า หากใส่เงินลงทุนไปในช่วงบ้านเมืองไม่ปกติจะได้รับผลตอบแทนตามที่ตั้งใจหรือไม่ แต่สุดท้ายเราเกิดความคิดที่ว่า หากเลือกลงทุนถูกตัวคงได้รับผลตอบแทนที่ดี

ระหว่างที่กำลังชั่งใจ เราลองชำเลืองดูตลาดหุ้นไทยพบว่า ในช่วงที่ต่างชาติขายหุ้นไทยออก แต่ดัชนีไม่ได้ลดลงมากมาย ฉะนั้นเมื่อนำความมั่นใจในข้อมูลที่มีต่อหุ้นตัวนั้นบวกกับพฤติกรรมการลงทุน ทำให้เราเลือกที่จะถือหุ้นตัวดีๆ ต่อๆ ไป

“จากสถิติตลาดหุ้น คือ สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ”

ด้าน “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน บอกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมามีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า ดัชนีน่าจะขึ้นไปยืนเหนือ 1,700 จุดได้ แต่ส่วนตัวมองว่า น่าจะวิ่งแถวๆ 1,600 จุด ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้างแล้วเห็นได้จากสภาพคล่องที่ดีขึ้น

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะเป็นตัวช่วยให้ตลาดหุ้นไทยดีขึ้นกว่าเดิม”

ถามถึงพอร์ตลงทุนส่วนตัว เขาตอบว่า สำหรับพอร์ตหุ้น ที่ผ่านมาปรับวิธีการลงทุนใหม่ ด้วยการหันมาโฟกัสหุ้นตัวเดิมๆ ในพอร์ตมากขึ้น และเลือกลงทุนเพียงไม่กี่ตัว เพื่อจะได้มีเวลาดูแลทั่วถึง ถ้าหุ้นตัวไหนดูแล้วดีจะถือลงทุนระยะยาว

ส่วนพอร์ตที่ดิน ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจเหมือนเดิม ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนในที่ดินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก หลังที่ดินบางแปลงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเด้ง ลักษณะการลงทุน คือ ทยอยซื้อที่ดินเก็บไว้ ถ้าพบว่า ที่ดินแถวไหนมีโครงการรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน ผลตอบแทนจะคืนกลับมาค่อนข้างสูงและรวดเร็ว หากขายต่อให้คนอื่น แต่การลงทุนที่ดินมี “ข้อเสีย” ตรงที่สภาพคล่องไม่ดีเหมือนตลาดหุ้น

“ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัวแล้วถือระยะยาว เน้นตัวที่มีอนาคต”

“เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนด้านเทคนิค วิเคราะห์ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นช่วงที่เหลือของปีนี้คงปรับตัวเพิ่มขึ้น ฉะนั้นราคาหุ้นรายตัวน่าจะสูงขึ้นเช่นกัน วันนี้ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น ทั้งบรรยากาศทางการเมือง และการลงทุน ส่วนตัวคิดว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บริหารประเทศก็ต้องมีการอนุมัติโครงการใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นคงทำให้หุ้นไทยดีขึ้นกว่าก่อน

SET Index ครึ่งปีหลังมีโอกาสลุ้นทำสถิติสูงสุดระดับ 1,650 จุด และหากบรรยากาศการเมืองไทยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวาย ประกอบกับมีรัฐบาลออกมาบริหารประเทศ และภาครัฐมีการออกโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่า

ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ดัชนีจะขึ้นไปยืนเหนือ 2,000 จุดได้ !!

ถามถึงกลุ่มที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ เขาตอบว่า คงเป็น “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ปัจจุบันหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้มีราคาถูก เพราะว่าที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯมีการชะลอเปิดโครงการใหม่ ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นกลับมาผู้บริโภคย่อมคืนมาเช่นกัน

“ที่ผ่านมาหุ้นอสังหาฯเหมือนโดนกัด อาการสาหัส ต้องรอให้แผลหายก่อนถึงกลับมาวิ่งใหม่ได้”

“กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ เพราะหากภาครัฐมีการอนุมัติโครง สร้างพื้นฐานออกมาจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุน ยกตัวอย่าง โครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มสื่อสาร” ส่วนตัวยังชื่นชอบหุ้นกลุ่มนี้อยู่ เพราะมั่นใจว่า หุ้นหลายตัวในกลุ่มสื่อสารจะกลับมา “เทิร์นอะราวด์”

“เสี่ยป๋อง” บอกว่า กลยุทธ์การลงทุนปีนี้ หากนักลงทุนมีเงินสดให้นำไปเก็บหุ้น เพื่อรอรับข่าวดีต่างๆ ในปี 2558 เหตุการณ์ตอนนี้คล้ายๆ ปลายปี 2549 และเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ตอนกรุงเทพฯ น้ำท่วมราคาหุ้นลงไม่เยอะ เหมือนปัจจุบันแม้ที่ผ่านมาจะมีการยึดอำนาจของคสช.แต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้หล่นเยอะ แถมปรับตัวขึ้นมาอีก ดังนั้นเมื่อทุกอย่าง “คลี่คลาย” ตลาดหุ้นขึ้นต่อแน่นอน

“หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลง หรือรุนแรง ตลาดหุ้นไทยปีหน้าสดใสชัวร์”

ทองคำต่ำสบโอกาสลงทุน

“อัพ-ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ หรือ GBX เล่าถึงมุมมองส่วนตัวว่า วันนี้ “ทองคำ” ยังคงน่าลงทุน หลังราคาทองคำปรับตัวลงมาเยอะมาก และยังไม่เห็นแนวโน้มว่า ราคาทองคำจะปรับลดลงต่ำมากกว่าใน ปัจจุบัน

ส่วนตัวเชื่อว่า ครึ่งปีหลังตลาดทองคำน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่หากเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะตลาดหุ้น ยอมรับว่าความน่าสนใจจะไปตกที่ตลาดหุ้นมากกว่า เพราะว่ามีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดทองคำ

เขา ยอมรับว่า ตลาดทองคำยังคงตกอยู่ในช่วงซบเซา ที่ผ่านมานักลงทุนเก็งกำไรมีสัดส่วนลดลงไปเยอะ ส่วนนักลงทุนระยะยาวยังคงเข้ามาลงทุนเป็นระยะ ช่วงไหนราคาทองปรับตัวลงเยอะๆ ก็จะเข้ามาซื้อลงทุน และช่วงไหนราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะขายทำกำไร

แม้ตลาดทองจะซบเซา แต่ทองยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนควรมีตัดพอร์ต เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง ฉะนั้นนักลงทุนควรจัดพอร์ตลงทุนให้มีทองคำอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือให้เป็นสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่สำคัญอย่าลืมติดเงินสดไว้ด้วย เผื่อโอกาสลงทุนเข้ามาจะได้ไม่ตกขบวนรถไฟ

-------------------------------------------

1,440 จุด จังหวะทำกำไร

“ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มีมุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า หากมองในด้านของปัจจัยพื้นฐาน ปัจจุบันต้องบอกว่า หุ้นไทยซื้อขายบนความหวังของนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นโยบายการลงทุนภาครัฐเริ่มชัดเจนขึ้น แต่อุปสรรคใหญ่อยู่ที่ว่า ความคาดหวังนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่วันนี้ราคาหุ้นหลายตัวสะท้อนความคาดหวังไปหมดแล้ว

“วันนี้ดัชนีระดับ 1,500 จุด ถือว่า “แพง” แต่ถามว่า หุ้นไทยมีโอกาสไปต่อหรือไม่ ตอบแบบนี้แล้วกันว่า “มีและไม่มี”

ในช่วง 3-6 เดือนต่อจากนี้ ดัชนีอาจปรับฐานลงสู่ระดับ 1,440 จุด ซึ่งเป็นฐานดัชนีก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถือเป็นจังหวะเหมาะสมที่จะเข้าไปลงทุน ฉะนั้นนักลงทุนต้องเลือกเฟ้นหุ้นที่ราคายังไม่แพงเกินไป

ถามว่าควรบริหารพอร์ตอย่างไร “สุกิจ” ตอบว่า ควรนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น 70 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นสัดส่วนที่รับได้ ที่เหลือควรถือเป็นเงินสด เพื่อรอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน หรือให้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับตลาดหุ้น

“ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม 1.นโยบายของภาครัฐ 2. การดำเนินนโยบายมีประสิทธิภาพแค่ไหน”

เขา บอกว่า หุ้นที่ยังลงทุนได้ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นราคาไม่แพงเกินไป เช่น กลุ่มพลังงาน และสื่อสาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบ หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขณะเดียวกันมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง หากมีนโยบายจากภาครัฐเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจัง

นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มการบิน” รวมถึง “กลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจโลก” หลังเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว สุดท้ายคือ “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” โดยเฉพาะรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายลงทุนภาครัฐยิ่งน่าสนใจ ในทางกลับกัน กลุ่มที่มีราคาหุ้นแพงเกินไปและนักลงทุนควร “หลีกเลี่ยง” เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างบางตัว

“ภาคการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวก็จริง แต่ไม่ใช่เติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะภาคการบริโภคในประเทศมีการเติบโตต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงยังไม่เห็นการฟื้นตัวแรงๆ”