'ปตท.สผ'.ทุ่มกว่า6หมื่นลบ.ซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมมาเลเซีย
'ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม'ทุ่ม6.7-6.8หมื่นล้านบาทซื้อกิจแหล่งปิโตรเลียมมาเลเซีย'เมอร์ฟี่ ออยล์' เป็นไปตามกลยุทธ์เน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หนุนรายได้ -ปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองเพิ่ม
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท PTTEP HK Offshore Limited บริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Sale and Purchase Agreement : SSPA) เพื่อเข้าซื้อธุรกิจทั้งหมดของบริษัท Murphy Oil Corporation (Murphy) ในประเทศมาเลเซีย ผ่านการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทย่อยซึ่งได้แก่ บริษัท Murphy Sabah Oil Ltd. (Murphy Sabah) และ Murphy Sarawak Oil Ltd. (Murphy Sarawak) ในสัดส่วน 100% มูลค่าซื้อรวม 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.7-6.8หมื่นล้านบาท ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะต้องมีการปรับเงินทุนหมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงไปจนกว่าการซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์ โดยอาจมีการรับรู้มูลค่าการซื้อเพิ่มเติมในจำนวนไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. หากผลการเจาะสำรวจของโครงการ SK405B พบปริมาณปิโตรเลียมอย่างมีสาระสำคัญ
ทั้งนี้บริษัทจะชำระมูลค่าการซื้อขายด้วยเงินสดที่มีอยู่ เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาฯ ซึ่งรวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐ โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2/62 และภายหลังสัญญาเสร็จสิ้น ปตท.สผ.จะเป็นผู้ดำเนินการแทน Murphy ในสัดส่วนการลงทุนเดียวกัน ทั้งนี้ ปตท.สผ.จะทำงานร่วมกับ Murphy เพื่อให้การดำเนินการระหว่างการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น และคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยภายใต้กลุ่มบุคคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในปัจจุบัน
สำหรับสองบริษัทมีการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่อยู่ในระยะผลิต 2 โครงการ ระยะพัฒนา 1 โครงการ และระยะสำรวจ 2 โครงการ โดยมีประมาณการปริมาณสำรองปิโตรเลียม (2P) จำนวน 274 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีปริมาณการขายสุทธิ (net sales volume) ปี 61 ประมาณ 48,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (เป็นน้ำมันและคอนเดนเสท 62%) โดยมีรายละเอียดของโครงการ ดังต่อไปนี้
1. โครงการ SK309 & SK311 ประกอบด้วยแปลง SK309 และแปลง SK311 ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตั้งอยู่ในทะเลน้ำตื้นนอกชายฝั่งรัฐ Sarawak ปัจจุบัน Murphy Sarawak มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการ 59.5% ยกเว้นพื้นที่ East Patricia ในแปลง SK309 ที่มีสัดส่วนการลงทุน 42% โดยมีปริมาณการขายสุทธิส หรับปี 2561 ประมาณ 30,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
2. โครงการ Sabah K ประกอบด้วยแหล่ง Kikeh, Siakap North-Petai (SNP) และ Gumusut-Kakap (GK) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมัน ตั้งอยู่ในทะเลน้ำลึก นอกชายฝั่งรัฐ Sabah ปัจจุบัน Murphy Sabah มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการ 56% , 22.4% และ 6.4% ตามลำดับ โดยมีปริมาณการขายสุทธิสำหรับปี 61 ประมาณ 18,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
3. โครงการ Sabah H เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ตั้งอยู่ในทะเลน้ำลึก นอกชายฝั่งรัฐ Sabah ปัจจุบัน Murphy Sabah มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการ 56% ในพื้นที่ Rotan field และ 42% ในพื้นที่ที่เหลือ โดยคาดว่าโครงการจะเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติได้ภายในครึ่งหลังของปี 63 และมีกำลังการผลิตที่ 270 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นปริมาณการขายสุทธิประมาณ 130 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน(หรือ 22,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน)
4. โครงการ SK314A เป็นแหล่งสำรวจปิโตรเลียม ตั้งอยู่ในทะเลน้ำตื้น นอกชายฝั่งรัฐ Sarawak ปัจจุบัน Murphy Sarawak มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการ 59.5%
5. โครงการ SK405B เป็นแหล่งสำรวจปิโตรเลียม ตั้งอยู่ในทะเลน้ำตื้น นอกชายฝั่งรัฐ Sarawak ปัจจุบัน Murphy Sarawak มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการ 59.5%
Murphy เป็นผู้ดำเนินการโครงการทั้งหมดในประเทศมาเลเซีย ยกเว้น แหล่ง GK ในโครงการ Sabah K ซึ่งดำเนินการโดย Shell การเข้าซื้อดังกล่าวมีมูลค่ารวมประมาณ 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ดอลลาร์สรอ.)
การเข้าซื้อธุรกิจจาก Murphy ในประเทศมาเลเซียครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ Coming Home Strategy ของ ปตท.สผ. ที่เน้นการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นการเข้าซื้อกลุ่มโครงการที่อยู่ในระยะการผลิต พัฒนา และสำรวจ ซึ่งนอกจากจะสามารถมีกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการดำเนินงานเองแล้ว ยังสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการผลิตและปริมาณสำรอง ให้กับ ปตท.สผ.ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
นอกจากนี้การเข้าซื้อดังกล่าวยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจอย่าง Petronas และเป็นการขยายฐานปฏิบัติการให้กับ ปตท.สผ. ในประเทศมาเลเซียในฐานะผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่บริษัทมีอยู่ปัจจุบันในประเทศมาเลเซียผ่านการดำเนินงานร่วมกัน รวมถึงส่งเสริมพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานโครงการน้ำลึกของบริษัทในอนาคตอีกด้วย