สเต็ปโต INSETขึ้นแท่นผู้เล่นรายใหญ่
เกาะติดงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ !! 'จุดขาย' หุ้นไอพีโอน้องใหม่ 'อินฟราเซท' เตรียมระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 8 ต.ค.นี้ 'ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต' นายใหญ่ หวังเงินระดมทุนผลักดันขีดความสามารถรับงานระดับ 2,000 ล้านบาท
เป็นส่วนหนึ่งใน 'จิ๊กซอว์' งานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ !! ยิ่งเฉพาะด้านโครงการโทรคมนาคมที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูง เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี 5G ที่กำลังได้รับผลดีจากการลงทุน เป็น 'โอกาสทอง' ของหุ้นไอพีโอน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 146 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.69 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) วันที่ 8 ต.ค. 2562
'บอล-ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต' กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินฟราเซท หรือ INSET ผู้ให้บริการงาน ด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างครบวงจร งานติดตั้งเสาสัญญาณ งานวางระบบโครงข่ายสาย รวมถึงงานออกแบบ และก่อสร้าง Data Center บอกสตอรี่ใหม่ผลักดันฐานะกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ฟังว่า
การขยับตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในครานี้แน่นอนว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง 'ตระกูลพุกกะณะสุต' จำนวน 49.21% (ตัวเลขหลังเสนอขายหุ้นไอพีโอ) มองว่าธุรกิจยังมีช่องทางการเติบโตอีกมาก ฉะนั้น ภารกิจแรกที่ต้องทำ นั่นคือ อยากผลักดันบริษัทเข้ามานำระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากต้องการต่อยอดธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตในอนาคต ซึ่งแผนการระดมทุนคือ 'ธงผืนใหญ่' เขาบอกเช่นนั้น !!
ยอมรับว่า การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นต้องการแก้ไขปัญหา 'ข้อจำกัด' การเติบโตของธุรกิจ บริษัทต้องมีเงินลงทุนเพื่อไปขยายธุรกิจ สะท้อนผ่าน เงินระดมทุนเสนอขาย IPO จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินเพื่อรับงานประมูลที่มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ โครงการท่อร้อยสายกทม. และ Google Station
ทั้งนี้ 'จุดเด่น' ของธุรกิจ INSET คือ ความโดดเด่นในด้านการเป็นผู้ประกอบการครบวงจรเพียงไม่กี่รายในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสได้รับงานมากขึ้นในอนาคต !! ประกอบกับธุรกิจของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ภาครัฐสนับสนุนผ่านโครงการไทยแลนด์ 4.0
'สะท้อนผ่านในอดีตเราเคยผ่านงานที่สร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ 530 ล้านบาท และโครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน เฟส 1 และ 2 ฉะนั้น หลังระดมทุนความสามารถการรับงานจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ในการรับงานขนาดนี้ในตลาดไม่มาก'
ปัจจุบัน INSET แบ่งการให้บริการของบริษัทเป็น 3 ธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Data Center & Information Technology Infrastructure) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70% โดยแบ่งเป็น งานก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) บริษัทดำเนินธุรกิจก่อสร้างศูนย์ Data Center และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ในรูปแบบการรับเหมาแบบเบ็ดเสร็จทั้งโครงการ (Turnkey) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ
และ งานก่อสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Infrastructure) ซึ่งเป็นงานก่อสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, ติดตั้งอุปกรณ์และเชื่อมต่อระบบต่างๆ ในพื้นที่โครงการ ทั้งระบบการสื่อสาร, ระบบสัญญาณ WIFI, ระบบสาย LAN และระบบไฟฟ้า เป็นต้น
2.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม (Telecommunication Infrastructure) คิดเป็น 25% โดยบริษัทเป็นผู้ให้บริการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคมให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศ โดยให้บริการตั้งแต่การสำรวจ , ออกแบบ จนถึงก่อสร้างและติดตั้งเสาและสายสัญญาณและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
และ 3.ธุรกิจงานซ่อมบำรุงและบริการ (Maintenance and Service) คิดเป็น 5% ให้บริการกับโครงการในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารโทรคมนาคม เน้นรับงานบริการและซ่อมบำรุงจากทั้งลูกค้าเก่าที่บริษัทเคยส่งมอบโครงการแล้วและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีรูปแบบการให้บริการในลักษณะการให้บริการบำรุงรักษาแบบ Preventive Maintenance และแบบ Corrective Maintenance โดยบริษัทมีทีมงานประจำทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าได้ทันที
หากพิจารณาการเติบโตขององค์กรแห่งนี้พบว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2559-2561) พบว่า บริษัทมีรายได้จำนวน 451.35 ล้านบาท 530.29 ล้านบาท และ 1,007.12 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 43.14 ล้านบาท 63.91 ล้านบาท และ 94.56 ล้านบาท ตามลำดับ
'รายได้หลักของเราจะมาจากรายได้จากธุรกิจก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รองลงมาเป็นรายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม'
'นายใหญ่' แจกแจงแผนธุรกิจ 3-5 ปีข้างหน้า (2562-2566) บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 'ธุรกิจงานซ่อมบำรุงและบริการ' (Maintenance and Service) เพิ่มขึ้นเป็น 25-30% เดิม 5% (ณ ปี 2561) เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการสร้างพอร์ต 'รายได้ประจำ' หรือ Recurring Income ที่สร้างสินทรัพย์ที่มั่นคงด้านรายได้ต่อเนื่อง ไม่สวิงตามความผันผวนของรายได้จากธุรกิจหลัก
สะท้อนผ่าน ปัจจุบันบริษัทมี 'มูลค่างานในมือ' (แบ็กล็อก) จำนวน 2,700 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 2-3 ปีข้างหน้า โดยในมูลค่าแบ็กล็อกดังกล่าวคิดเป็นรายได้ประจำที่บริษัทจะรับรู้ต่อเนื่องอยู่ 800 ล้านบาท และยังไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกด้วย
'เราอยากให้พอร์ตธุรกิจของเรามีสัดส่วนรายได้ประจำมากขึ้น เนื่องจากจะช่วยให้บริษัทมีความมั่นคงในแง่ของการเติบโต และมีกระแสเงินในการลงทุนต่อเนี่อง'
นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโครงข่ายท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 มูลค่าลงทุน 790 ล้านบาท โครงการวางระบบเครือข่ายรวมถึงอุปกรณ์ WiFi (โครงการ Google Station) จำนวน 5,000 จุด มีรายได้เฉลี่ยจุดละ 1,200-1,500 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำเข้ามาตลอดอายุสัญญา 5 ปี โครงการ USO-Phase 2 และ งานซ่อมบำรุงรักษาโครงการ Phase 1 และ Phase 2
เขา บอกต่อว่า ตั้งเป้ารายได้เฉลี่ย 3-5 ปี (2563-2567) เติบโต 5-10% ทุกปี ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% โดยจะมาจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่ระหว่างรอการส่งมอบ มูลค่า 2,739 ล้านบาท โดยจะรับรู้ปีนี้ถึง 30-40% และที่เหลือจะรับรู้ต่อเนื่อง 2-3 ปีข้างหน้า
'ที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 25-30% แต่หลังจากนี้ตั้งเป้าหมาย 5-10% เพราะว่าฐานเราใหญ่ขึ้นแล้วอาจจะไม่ได้เติบโตหวือหวาเช่นในอดีต' นายใหญ่ INSET ย้ำเช่นนั้น !
สำหรับ 'ปัจจัยเสี่ยง' ของธุรกิจ ประกอบด้วย ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ โดยบริษัทในบทบาทการเป็นผู้รับเหมาช่วง มีการรับงานต่อจากผู้รับเหมาหลักมาโดยตลอด ทำให้รายได้จากการดำเนินงานส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากผู้รับเหมาหลักรายใหญ่ โดยเฉพาะ W&W ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม TRUE ซึ่งมีความสัมพันธ์กับบริษัทในลักษณะเป็นคู่ค้าและพันธมิตรในการทำธุรกิจกันมานาน
รวมทั้ง ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อการประมูลงานของบริษัท ซึ่งโครงการที่บริษัทได้รับมอบหมายจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงการประเภทดังกล่าวมีความไม่ต่อเนื่อง ลดลง หรือเพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงเวลา และอาจส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทที่ได้จากการดำเนินการโครงการข้างต้นไม่สม่ำเสมอความเสี่ยงจากการแข่งขันทางธุรกิจและคู่แข่งรายใหม่
โดยบริษัทมีความเสี่ยงจากการแข่งขันทางธุรกิจโดยแบ่งตามประเภทธุรกิจได้ คือ ธุรกิจก่อสร้างศูนย์ Data Center : การปรับปรุงพื้นที่ที่มีอยู่ในอาคารให้เป็นศูนย์ข้อมูล มีความซับซ้อนไม่มากนัก ในขณะที่การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลแยกเป็นอาคารต่างหากจะมีความซับซ้อนจากการก่อสร้าง ออกแบบอาคารและระบบที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมต่อการใช้งาน ดังนั้น ผู้รับเหมาที่จะดำเนินการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลแบบดังกล่าวจึงต้องมีความรู้ ความชำนาญ และมีประสบการณ์ในการออกแบบและก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
และ ธุรกิจก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม : โครงการประเภทนี้ไม่มีความซับซ้อนมากนักแต่จะมีปริมาณที่ค่อนข้างมาก ผู้รับเหมางานดังกล่าวส่วนใหญ่จึงต้องว่าจ้างผู้รับเหมารายย่อยเพื่อดำเนินงาน จุดแข็งสำหรับผู้รับเหมาสำหรับธุรกิจนี้จึงเป็นการที่สามารถควบคุมและรักษาระดับคุณภาพงานที่ส่งมอบ สามารถตอบสนองได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและตรงกำหนดเวลา ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งดังกล่าว ทำให้สามารถแข่งขันในธุรกิจนี้ได้
ท้ายสุด 'ศักดิ์บวร' ทิ้งท้ายไว้ว่า อนาคตเรายังมีงานที่รอประมูลอีกเยอะ ไมว่าจะเป็นโครงการอินเตอร์เน็ตห่างไกล เฟสต่อไป โดยงานในกลุ่มของเทคโนโลยีงานโครงสร้างพื้นฐานยังมีการลงทุนเป็นหลักของทุกๆ รัฐบาล
พนักงานขายสู่ 'เจ้าของธุรกิจ'
'ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต' กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินฟราเซท หรือ INSET เล่าให้ฟังว่า มาจากครอบครัวขายของชำเล็กๆ น้อยๆ และเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หลังจากเรียนจบหางานอยู่ 2-3 ปี เนื่องจากช่วงที่เรียบจบเป็นช่วงที่เมืองไทยกำลังเผชิญกับ 'วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง' (ปี 2540) ก่อนจะได้ทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในตำแหน่ง 'พนักงานขาย' (เซลล์) ทำงานอยู่ที่นั้นนานกว่า 9 ปี ซึ่งตำแหน่งสุดท้ายคือ รองผู้อำนวยการ !!
ก่อนตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ด้วยเงินทุนเพียง 2 แสนบาท 'จุดเริ่มต้น' มีลูกค้าที่สนิทตั้งแต่ทำงานที่เดิม ให้งานสร้างศูนย์คอมพิวเตอร์ มูลค่า 5 ล้านบาท โดยในปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท และเติบโตมาเรื่อยๆ
โดย INSET จากบริษัทเล็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดย่อม (SME) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เมื่อปี 2559 และ INSET ได้รับคัดเลือก เป็น 1 ใน 5 บริษัท ของผู้ประกอบการ 160 ราย ที่กรมส่งเสริมฯ ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้การสนับสนุน เนื่องจากมีความเห็นว่า ธุรกิจของ INSET จะช่วยพัฒนาประเทศ รวมทั้งบริษัทมีโอกาสเติบโตอีกด้วย !