นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ไวไว” เปิดเผยว่า จากนโยบาย “ชิม ช้อป ใช้” ที่รัฐบาลคลอดออกมากระตุ้นเศรฐกิจ ถือเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 17,000 ล้านบาท เติบโต 5% เป็นการกลับมาโตสูงในรอบ 3-4 ปี จากเดิมที่โตเพียง 2-3% เท่านั้น กลับกันหากไร้มาตรการดังกล่าว ตลาดบะหมี่ฯแบบซองคาดว่าจะไม่เติบโตและมีโอกาสหดตัวลงด้วย
นอกจากนี้ อานิสงค์จากตลาดบะหมี่ฯพรีเมียมราคาสูงกว่า 6 บาทขึ้นไป แบรนด์จากต่างประเทศที่จำหน่ายในราคา 30-40 บาทต่อซอง ยังช่วยทลายกำแพงผู้บริโภคที่มองว่าการซื้อบะหมี่ฯแบบซองจะต้องราคาไม่เกิน 10 บาท ให้หันมาบริโภคสินค้าพรีเมียมมากขึ้นด้วย ประกอบกับมีผู้เล่นรายใหญ่ส่งสินค้าบุกตลาดพรีเมียมเพิ่มขึ้นหนุนตลาดโต 2 หลัก และส่งผลให้ภาพรวมเติบโตดี
จากเทรนด์ดังกล่าว ทำให้ไวไวปัดฝุ่นสินค้าพรีเมี่ยมทำตลาดอีกครั้ง จากอดีตเคยออกสินค้าราคา 10 บาท จำหน่ายเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และยังนำสินค้ารสชาติยอดนิยมในตำนานอย่าง ไวไวรสต้มยำ(สูตรดั้งเดิม) ที่จำหน่ายเฉพาะในตลาดต่างประเทศกลุ่มเมียนมา ลาว กัมพูชา มาอยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบชามหรือโบลว์ เพื่อปั้นเป็นสินค้าฮีโร่เพิ่มเติม เสริมทัพด้วยสินค้ารสหอยลายผัดฉ่า และไวไวปรุงสำเร็จชนิดชามที่ทำตลาดก่อนหน้านี้จนได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
“ตลาดบะหมี่ฯกลับมาโต5% อีกครั้งในรอบหลายปี โดยเฉพาะช่องทางจำหน่ายที่เป็นร้านค้าทั่วไป เนื่องจากมาตรการชิม ช้อป ใช้ เป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และทำให้บะหมี่ฯทุกแบรนด์เติบโตหมด ขณะเดียวกันบะหมี่ฯเซ็กเมนต์พรีเมียมยังช่วยทลายกำแพงของตลาดบะหมี่ฯ ที่ผู้บริโภคมองเป็นสินค้าแมสจับกลุ่มเป้าหมายประชากรฐานราก แต่ปัจจุบันบะหมี่ฯซองละ 15 บาท ก็กล้าซื้อ สะท้อนให้เห็นคนบริโภคบะหมี่ฯ ไม่ได้กินแค่ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี หรือเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจกำลังซื้อ เพราะคนยอมจ่ายซื้อสินค้าราคาแพงแล้ว และกลายเป็นโอกาสทางการตลาดที่บริษัทจะส่งสินค้าเพื่อสร้างการเติบโตยอดขาย”
ก่อนหน้านี้ มาม่า มีบะหมี่ฯพรีเมียมรูปแบบชามทำตลาด แต่ปัจจุบันหายไป มีเพียงไวไว ที่ทำตลาดในวงกว้าง ส่วนเอฟเอฟ มีสัดส่วนน้อย รวมถึงเฮ้าส์แบรนด์เซเว่นซีเล็ค ปั้นสินค้าตอบกลุ่มเป้าหมาย เมื่อรวมแบรนด์ต่างประเทศคาดว่าไม่เกิน 5 แบรนด์ โดยสัดส่วนบะหมี่ฯแบบชามคาดว่ามีสัดส่วนตลาดเพียง 1-2% หรือมูลค่าราว 300 กว่าล้านบาท การบุกตลาดครั้งนี้ ไวไวต้องมีผลักดันบะหมี่ฯชามให้มีสัดส่วนรายได้ 10% จากปัจจุบันแบบซองทำรายได้สูงสุด 98-99%
