Risk off

Risk off

รอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เป็นหลัก

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index รีบาวด์ขึ้น +28.67 จุด (+2.10%) ปิดที่ 1,395 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.4 หมื่นล้านบาท แม้ว่าภาวะตลาดจะยังมีความกังวลจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 อย่างไรก็ตามดัชนีดีดตัวขึ้นได้จากแรงซื้อ Technical rebound ตามสัญญาณเทคนิคจากภาวะ Oversold รวมถึงแรงซื้อ Cover short ในหุ้นที่ทรุดตัวลงแรงก่อนหน้านี้ โดยเป็นแรงซื้อในกลุ่ม Helth , Etron และ Bank ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 110 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 11,153 ล้านบาท แต่เป็นฝั่ง Net Long TFEX 27,751 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET Index ปรับตัวลงทดสอบ Low เดิมบริเวณ 1,355 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นรอบบ้านที่นักลงทุนยังคงอยู่ในภาวะ Risk off จากความกังวลไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างไปทั่วโลกโดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งกดดันต่อภาพเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทฯ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงต่อเนื่องจากความกังวล Demand ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจนั้นเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ รวมถึงกดดันต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้อีกด้วย ดังนั้น จึงแนะนำ รอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เป็นหลัก

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นกลุ่ม Defensive ที่จ่ายปันผลระดับสูง ADVANC, INTUCH, TTW
  • กลุ่มส่งออก Elec (KCE, HANA, DELTA)  Food (CPF, TU) อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, KTC ) ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%
  • MSCI เพิ่มน้ำหนัก CRC, BTS และ BDMS มีผลวันที่ 28 ก.พ. 

หุ้นแนะนำวันนี้

  • ADVANC (ปิด 204 ซื้อ/เป้า 247 บาท) ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ขณะที่ ADVANC เริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์เป็นรายแรกของไทยช่วยหนุนกิจกรรมการตลาดและช่วยดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการเครือข่ายของ ADVANC มากขึ้น
  • TU (ปิด 15.9 ซื้อ/เป้า 17.5) ได้ Sentiment บวกค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเมื่อเทียบกับ US dollar และ Euro คาด TU ได้ประโยชน์มากสุดเพราะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกมากที่สุดของกลุ่มคิดเป็น 75% ของรายได้รวม แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q20 โตต่อเนื่องจากมาร์จิ้นและปริมาณขายเพิ่มขึ้น หลังจากราคาทูน่ากลับมาเร่งตัวขึ้นจาก USD900/ตันในช่วง 3Q19 เป็น USD1,300/ตัน ในปัจจุบัน

บทวิเคราะห์วันนี้

ANAN (ปิด 1.8 /อยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายและคำแนะนำ), LH (ปิด 10.2 ซื้อ/เป้า 11.5), MINT (ปิด 27.75 /อยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายและคำแนะนำ), QH (ปิด 2.36 ถือ/เป้าใหม่ 2.2 จาก 2.6)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 อีก 1,191 จุด จากไวรัส Covid-19 ระบาดนอกประเทศจีนเร่งตัวขึ้น: ดัชนีดาวโจนส์ลดลงอีก 1,191 จุด (-4.4%) ปิดที่ 25,767 จุด หลังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายแรกของสหรัฐติดเชื้อโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่มีประวัติการเดินทางไปประเทศจีน ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 นอกประเทศจีนเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะ เกาหลีใต้ อิตาลี และ อิหร่าน (เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,595 ราย, อิตาลีมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 14 ราย และ อิหร่านเสียชีวิตเพิ่มเป็น 26 ราย) นอกจากนี้ยังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอีกหลายประเทศ อาทิ อัฟกานิสถาน บราซิล และ ฮอลแลนด์ ขณะที่ภาคเอกชนในสหรัฐเริ่มออกมายอมรับถึงผลกระทบจากไวรัส Covid-19 อาทิ ไมโครซอร์ฟ และแอบเปิ้ล ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์รายได้ของบริษัทในสหรัฐอาจจะไม่เติบโตเลยในปีนี้
  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมันยังเหนื่อย ราคาน้ำมันดิบร่วงทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี โรงกลั่นเสี่ยงบันทึก Stock loss กดดันกำไร 1Q20: ราคาน้ำมันดิบเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากมาตรการที่ประเทศต่างๆประกาศใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส อาทิ ปิดเมือง ยกเลิกเที่ยวบิน ปิดโรงงาน และปิดห้างร้านบริษัทต่างๆ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงส่งผลต่อดีมานด์และความต้องการพลังงานที่ลดลงตามไปด้วย โดยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงดังกล่าวจะส่งผลลบต่อผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันโดยตรงโดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นคาดว่าจะมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบ (Stock loss) จำนวนมากในไตรมาสนี้
  • (+) งานลงทุนภาครัฐเริ่มขยับ รฟม.เตรียมเปิดประมูลโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มในวันที่ 1 พ.ค.นี้: รฟม.อยู่ระหว่างคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วง บางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทาง โดยมีระยะเวลาเดินรถ 30 ปี รฟม.เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างเอกสาร (Request for Proposal: RFP) ในวันที่ 15 มีนาคม 2020 จากนั้นจะประกาศเชิญชวนและขายเอกสารในวันที่ 1 พฤษภาคม 2020 เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาโดยเฉพาะ CK ซึ่งน่าจะมีความได้เปรียบมากสุดเนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นงานก่อสร้างใต้ดินซึ่ง CK มีความถนัดและมีประสบการณ์มากสุดในไทย