คลื่นลมยังแรง

คลื่นลมยังแรง

ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงอีกครั้งจากความกังวลด้าน Demand ที่หดตัวจะเป็นแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงานและดัชนีด้วยเช่นกัน

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

SET วันศุกร์ปรับตัวขึ้นแรงปิดที่ 1,127.24 จุด (+83.05 จุด) หรือ 7.95% ด้วย Volume ซื้อขายหนาแน่น 9.3 หมื่นล้านบาท ตอบรับธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลกร่วมกันออกมาตรการทั้งการเงินการคลังเพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากสถานการณ์ Covid-19 ประกอบกับค่าเงิน Dollar Index ที่ผ่อนคลายลงทำให้มีการทำ Cover short นำโดยแรงซื้อในกลุ่ม Energy, Trans และ Fin อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 8.9 พันล้านบาท, Net Short TFEX 12,132 สัญญา และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 6,623 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET ปรับตัวลงทดสอบ 1,050 – 1,070  จุด แม้ว่ากนง.จะประชุมนัดพิเศษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 0.75% รวมถึงออกมาตรการเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ในหลายๆด้าน อย่างไรก็ตามคาดว่านักลงทุนจะยังคงอยู่ในภาวะ Risk-off จากความกังวลเชื้อไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในสหรัฐ ยุโรป รวมถึงไทยซึ่งเป็นตัวฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกหดตัว ประกอบกับความกังวลมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐยังไม่ผ่านอนุมัติจากวุฒิสภาส่งผลให้ DJF ทรุดตัวลงแรงในช่วงเช้านี้ สำหรับประเทศไทยตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดพุ่งขึ้นแรงเป็น 599 ราย  จนทำให้กทม.ประกาศปิดทำการสถานที่เสี่ยง 26 ประเภท รวมถึงห้างสรรพสินค้า และตลาดนัด เป็นเวลา 22 วัน (22 มี.ค. – 12 เม.ย.) เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงอีกครั้งจากความกังวลด้าน Demand ที่หดตัวจะเป็นแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงานและดัชนีด้วยเช่นกัน

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH, DTAC) ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 จำกัด + ได้อานิสงส์ Work from home
  • กลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC) ประชาชนเร่งกักตุนสินค้าเพื่อรองรับสถานการณ์ Covid-19
  • กลุ่มอาหาร (CPF, TU) ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า

หุ้นแนะนำวันนี้

  • CPALL (ปิด 59.25 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 88 บาท) ได้อานิสง์ประชาชนแห่กักตุนสินค้าหนุนยอดขาย CPALL และ MAKRO (ถือหุ้น 38%) เพิ่มขึ้น และคาดว่า CPALL จะได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ (คืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท) เนื่องจากมีสาขากระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ
  • ADVANC (ปิด 197.5 ซื้อ/เป้า 247 บาท) โดยมีปัจจัยบวกคือ 1) ได้ Sentiment บวกจากกระแส Work from home, 2)ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ 3) เป็นหุ้น Big Cap ที่ผลกำไรมั่นคงจ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ Dividend yield สูง (ADVANC คาดปี 2020 จะจ่ายปันผล 7.9 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield ประมาณ 4.6%)

บทวิเคราะห์วันนี้

CRC (ปิด 24.7 ซื้อ/เป้า 34), Thailand Strategy - 2Q20 (หุ้นติดไซเรน)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) น้ำมันดิบยังผันผวนหนัก ตลาดยังกังวลกับดีมานด์ที่หดตัว และล่าสุดรัสเซียปฏิเสธที่จะร่วมมือกับสหรัฐในการรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมัน: แม้วันก่อนราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัวแรงจากข่าวที่สหรัฐประกาศจะเข้าซื้อน้ำมันไว้ในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์มากถึง 30 ล้านบาร์เรล แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นแค่ปัจจัยบวกในช่วงสั้นเท่านั้นเพราะปัญหาหลักจริงๆของตลาดในตอนนี้ คือ ดีมานด์หดตัวจากผลกระทบของ Covid-19 และ ภาวะ Over supply จากซาอุฯ และกลุ่มประเทศใน OPEC เพิ่มกำลังการผลิตยังคงอยู่ ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในทิศทางขาลง และล่าสุดราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงอีกครั้งหลังมีกระแสข่าวว่ารัสเซียมีท่าทีคัดค้านและไม่เห็นด้วยที่สหรัฐจะเข้ามาแทรกแทรงเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดตลาดซื้อขายเมื่อวันศุกร์ลดลงอีก 2.69 ดอลลาร์ (10.7%) ปิดที่ 22.53 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นลบต่อ Sentiment การลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจ น้ำมัน โรงกลั่นและ ปิโตรฯ (PTTEP, TOP, SPRC, ESSO, PTTGC และ IRPC)
  • (-) กทม.สั่งปิดห้างลดการแพร่ระบาดของ Covid-19 แต่อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดสู่ต่างจังหวัดเนื่องจากคนหลั่งไหลกลับภูมิลำเนา: แม้คำสั่งปิดห้างและสถานที่เสี่ยงทั่วกรุงเทพฯเป็นเวลา 22 วัน จะมีเป้าหมายเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 (กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไทยโดยกว่า 80% ของผู้ติดเชื้ออยู่ในกรุงเทพฯ) อย่างไรก็ตามเราคาดว่าตลาดจะตอบรับในทางลบกับคำสั่งนี้ จาก 1)ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง จากหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเศรษฐกิจหยุดชะงัก โดยเฉพาะภาคบริการ อาทิ โรงแรม โรงภาพยนต์ ห้างสรรพสินค้า สปา สถานบันเทิงต่างๆ รวมไปถึงระบบขนส่งต่างๆ อาทิ สนามบิน เครื่องบิน และ ทางด่วน รถไฟฟ้า (BTS BEM) และ 2)ผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งที่ไม่เข้มงวดหรือเด็ดขาดพอ (ปิดห้างแต่ไม่ปิดเมือง) ปัจจัยนี้ผลักดันให้ประชาชนหลั่งไหลกลับภูมิลำเนา เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสู่พื้นที่ต่างจังหวัด (80% ของผู้ติดเชื้ออยู่ใน กทม.เมื่อผู้ติดเชื้อเหล่านี้เดินทางไปต่างจังหวัด) จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดเร่งตัวขึ้น (จากภาวะสุขอนามัยที่ต่ำและการควบคลุมที่ยากลำบาก) ส่งผลให้การระบาดในเมืองไทยจะกินเวลานานกว่าที่ควรจะเป็นและจะยิ่งยากลำบากและรุนแรงขึ้นหากเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูที่ง่ายต่อการติดเชื้อ

      (+) ธปท.และหลายหน่วยงานเร่งออกมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดการเงินสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน: แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท.จะเร่งออกมาตรการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับภาคประชาชน อาทิ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 แสนล้านบาท และลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.25% เป็น 0.75% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ความตื่นตระหนกของประชาชนยังไม่ลดลง(ผู้ถือหน่วยลงทุนเร่งไถ่ถอนกองทุนโดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ธปท., กระทรวงการคลัง, ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์จึงร่วมมือกันออกมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดอีกครั้ง ประกอบด้วย 1)ให้ธนาคารพาณิชย์เข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้, ตลาดเงินแล้วนำมาเป็นหลักประกันกับ ธปท.เพื่อเพิ่มสภาพคล่องมูลค่ารวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท, 2) ตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดตราสารหนี้ (roll over) มูลค่า 7 หมื่น ถึง 1 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีมาตรการอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เรามองเป็นมาตรการที่ดี คล้ายกับที่หลายประเทศดำเนินการแต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่การระบาดของไวรัส Covid-19 หากยังไม่สามารถลดจำนวนผุ้ติดเชื้อลงได้ความตื่นตระหนก และความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนจะคงอยู่เหมือนเดิม