ราคาหุ้น‘กลุ่มยางพารา’พุ่งแรง อนิสงส์‘มาเลย์’หยุดผลิต
"หุ้นกลุ่มยางพารา"ปรับตัวขึ้นแรง "ไทยรับเบอร์ฯ" พุ่งชนซิลลิ่ง15% รับผลดีโรงงานมาเลเซียหยุดผลิตชั่วคราว ด้าน "ศรีตรัง" เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น 2.8 หมื่นล้านชิ้น จากปีก่อน1.9 หมื่นล้านชิ้น รับความต้องการตลาด
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มยางวานนี้ (30 มี.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง นำโดยบมจ. ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB)ปิดที่ 0.46 บาท เพิ่มขึ้น 15% ชนซิลลิ่ง และบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ปิดที่ 11.10 บาท เพิ่มขึ้น 6.73% รับผลดีโรงงานผลิตถุงมือยางในมาเลเซียปิดชั่วคราว
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มยางปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากได้รับผลบวกจากโรงงานผลิตถุงมือยางในมาเลเซียหยุดการผลิต 1 เดือน และปัจจุบันความต้องการใช้ถุงมือยางมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19)
ทั้งนี้หุ้นTRUBBที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นซิลลิ่งนั้น นอกจากได้รับผลดีจากโรงงานผลิตถุงมือยางที่มาเลเซียปิด ยังมาจากหุ้นTRUBB มีสภาพคล่องน้อย ทำให้สามารถซิลลิ่งได้ง่าย ขณะที่หุ้นSTA ทางผู้บริหารได้ให้ข่าวว่าผลการดำเนินงานปีนี้จะพลิกมีกำไร จากปีก่อนขาดทุน และเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางในปีนี้เพิ่มเป็น 2.8 หมื่นล้านชิ้นจากเดิม1.9 หมื่นล้านชิ้น และมีแผนขยายเพิ่มอีก 3.3 หมื่นล้านชิ้น
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุ ธุรกิจยางพาราและถุงมือยางของ STA จะฟื้นตัวชัดเจนในปี 2563 จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราเพิ่มขึ้น 17.8% จากปีก่อน 1.3 ล้านตัน เนื่องจากโรงงานแปรรูปยางพาราขนาดกลางและเล็กหลายแห่งหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราว หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนหนักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าบางส่วนหันมาสั่งซื้อสินค้ายางพาราจาก STA มากขึ้น เพราะเป็นผู้ประกอบการยางพารารายใหญ่สุดของโลก มีความน่าเชื่อถือและส่งมอบสินค้าได้ตามเวลา
ด้านสถาบันวิจัยยางพาราชั้นนำของโลก คาดแนวโน้มส่วนเกินยางพาราโลกในปี 2563 จะอยู่ที่ 3.9 หมื่นตัน พลิกจากที่ขาดดุล 2.3 หมื่นตันในปี 2562 (ผลผลิตยางจากอินโดนีเซียลดลงชั่วคราวในปี 2562 จากปัญหาโรคใบร่วง) และยังต้องติดตามปัญหาภัยแล้งของไทยในปี 2563 ซึ่งหากรุนแรงและนานกว่าคาด จะทำให้ผลผลิตยางพาราของไทยออกสู่ตลาดลดลง หนุนราคายางพาราโลกปรับตัวสูงขึ้นได้ในงวดไตรมาส3ปี2563
อย่างไรก็ตามราคายางแท่งในตลาดโลก ล่าสุดอยู่ที่ 1.11 พันดอลลาร์ต่อตัน ลดลงถึง 27% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้ยางพาราลดลง เพราะโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
บริษัทประเมินว่าปริมาณจำหน่ายยางพาราของ STA จะเพิ่มขึ้นในปี 2563 เพราะคู่แข่งที่ลดลงข้างต้น ขณะที่ราคายางแท่งเฉลี่ยตั้งแต่ต้นงวดไตรมาส1ปี2563 อยู่ที่ 1.35 พันดอลลาร์ต่อตัน ลดลง 1.2% จากไตรมาสก่อน และ 3.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สอดคล้องกับสมมติฐานราคาเฉลี่ยปี 2563 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 1.4 พันดอลลาร์ต่อตัน
ขณะที่ธุรกิจถุงมือยางจะเติบโตต่อเนื่อง จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 หนุนให้คำสั่งซื้อจากลูกค้าจีนและยุโรปเติบโตชัดเจนในงวดครึ่งปีแรก ทำให้ STA สามารถทยอยปรับเพิ่มราคาขายถุงมือ ยาง ได้ดีขึ้นในปี 2563 ถือเป็นผลบวกต่อ STA ที่ได้ขยายกำลังการผลิตถุงมือยางรองรับไว้แล้ว