KTC - ขาย
สิ่งที่ดีได้ผ่านไปแล้ว
Event
ประชุมนักวิเคราะห์และปรับลดคำแนะนำ
lmpact
NIM ลดลงแรงกว่าที่คาดไว้
จากนโยบายใหม่ของ ธปท. ที่ลดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อ P-loan เหลือ 25% (จากเดิมที่ 28%) และสินเชื่อบัตรเครดิตเหลือ 16% (จากเดิม 18%) KTC คาดว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนสินเชื่อ และมาร์จิ้นของบริษัทลดลง 2.25% ใน 2H63 (หรือประมาณ -1% ในปี FY63) และจะส่งผลกระทบเต็มปีในปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า NIM จะลดลงมากกว่าที่เราประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้เพราะ yield สินเชื่อของKTC มักจะต่ำกว่าเพดานอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ NIM ที่ลดลงทุก ๆ 1% จะทำให้รายได้ลดลงประมาณ 800 ล้านบาท และกำไรสุทธิลดลงประมาณ 12%
พยายามจะปลดล็อกนโยบายทางบัญชีเพื่อเร่ง write-off NPL
หลังจากนำมาตรฐานบัญชี TFRS9 มาใช้ NPL ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 1% ของสินเชื่อใน 4Q62 เป็น 6.6% ใน 2Q63 เนื่องจากมาตรฐานบัญชีใหม่ไม่อนุญาตให้บริษัท write-off อย่างหักโหม โดยใน 2Q63 ตัวเลข NPL เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 70% และฉุดให้สัดส่วน NPL coverage ลดลงเหลือแค่ 157% ทั้งนี้ เพื่อลด NPL ลง บริษัทกำลังหารือกับผู้สอบบัญชีเพื่อปรับวิธีการจัดชั้น NPL และ TDR ให้มีลักษณะอนุรักษ์นิยมน้อยลงกว่าเดิมเพื่อรักษาสัดส่วนสำรองฯ/หนี้เสีย (NPL coverage) เอาไว้ไม่น้อยกว่า 100% ซึ่งถ้าหาก KTC สามารถรักษาระดับ NPL เอาไว้ได้ที่ไตรมาสละ 300 ล้านบาท (เหมือนกับใน 1H63) สัดส่วน NPL ก็จะพุ่งขึ้นเป็น 9-10% และจะฉุดให้ NPL coverage ลดลงเหลือประมาณ 125% (จาก 157% ในปัจจุบัน)
ขยายธุรกิจใหม่ “สินเชื่อจำนำทะเบียน”
KTC ท้าทายธุรกิจปล่อยกู้ “สินเชื่อจำนำทะเบียน” ด้วยการเปิดทำธุรกรรมผ่านระบบ on-line ซึ่ง KTC ออกบริการนี้ในเวลาเดียวกันกับ “ธนาคารออมสิน” ซึ่งมีแผนจะเปิดบริการลักษณะเดียวกันซึ่งจะให้ yield ประมาณ 10-12% ทั้งนี้ เรายังไม่ได้ใส่รายได้จากบริการใหม่นี้เข้าไว้ในประมาณการของเรา
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/64 ลงอีก 21%/14% และปรับลดราคาเหมาะสมเป็น 33 บาท
เราปรับเพิ่มสมมติฐานคชจ.สำรองฯ/หนี้เสีย (credit cost) ปี 2563/64 เป็น 700/520 bps (จากเดิม 6.%/4.5%) และปรับสมมติฐาน yield สินเชื่อลดลงเหลือ 22%/20% (จากเดิม 22.7%/22%) ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2563/64 ลดลง 21%/14% ซึ่งเมื่อใช้ P/E ที่ 15x บนกำไรเฉลี่ยสองปีข้างหน้าจะทำให้เราได้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าที่ 33 บาท (จากเดิม 38 บาท) ทั้งนี้ เนื่องจากราคาหุ้นค่อนข้างแพงโดยคิดเป็นเกือบ +1.0 S.D. จากค่าเฉลี่ยระยะยาว ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก ถือ เป็น ขาย
Risks
การแข่งขันที่รุนแรงจะกดดันให้ค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้น และ NPL เพิ่มขึ้น.