กบง.เล็งหั่นกำไร3การไฟฟ้าลดค่าไฟ
กบง.มอบ กกพ. ทบทวนปรับผลตอบแทน 3 การไฟฟ้า ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจหลังโควิด-19 หวังลดค่าไฟฟ้าช่วยประชาชน ต่ออายุตรึงราคาแอลพีจี ครัวเรือน ถัง 15 กก.อยู่ที่ 318 บาทต่อถัง อีก 3 ด.ถึงสิ้นปี63
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่มีนายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับประชาชน เพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการดำรงชีพของประชาชน ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
1.แนวทางการลดภาระค่าไฟฟ้า ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปดำเนินการทบทวนความต้องการรายได้ของ 3 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.),การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงิน หรือผลตอบแทนรายได้ให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม หรือ ลดต้นทุนค่าไฟ และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบัน 3 การไฟฟ้า ได้กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงาน(ROIC) อยู่ที่ไม่เกิน 6% อาจปรับกลับเป็นไปอัตราเดิมในอดีตในรูปแบบอัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้(FFR) จะดีกว่าหรือไม่ เพราะจะเป็นการคำนวนตามสถานการณ์การลงทุนจริง
รวมถึง สั่งการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และ กฟผ. ไปบริหารจัดการปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจากปัจจุบันอยู่ในระดับสูงประมาณ 37-40% และให้ กกพ. ร่วมกับ กฟผ. จัดทำแผนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า รวมทั้งติดตามกำกับดูแลการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ.
อีกทั้ง มอบหมายให้ กกพ. ไปกำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และทบทวนค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ เพื่อให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อม ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ในโครงสร้างราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) ให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบต่ออายุมาตรการตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ออกไปอีก 3 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 31 ธ.ค.63) จากเดิม สิ้นสุด 30 ก.ย.63 ให้ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 14.3758 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาขายปลีกอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยใช้กองทุนน้ำมันฯ คาดว่า จะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯเข้ามาดูแล เดือนละ 450 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท หรืออีกประมาณ 5 เดือน (ต.ค.63 – ม.ค.64) ณ 13 ก.ย.63 บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 7,424 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไป
อีกทั้ง เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการส่งออก LPG โดยให้ยกเลิกมติเดิมที่ต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐมนตรีฯ เป็นมอบอำนาจให้ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้อนุญาตการส่งออก LPG เป็นรายเที่ยว สำหรับการส่งออกจากปริมาณที่ผลิตได้ในประเทศจะพิจารณาอนุญาตเฉพาะผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่เป็นผู้ผลิต LPG และให้ส่งออกได้ในปริมาณไม่เกินกว่าส่วนที่เกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ และให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) พิจารณามาตรการ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ หากเกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และแจ้งให้ ธพ. ทราบ
ทั้งนี้ กบง.ยังเห็นชอบตามข้อเสนอของ กกพ. เพื่อเยียวยาผู้ได้รับการคัดเลือกโครงการ SPP Hybrid Firm ในการขยายกำหนดวัน SCOD โครงการ SPP Hybrid Firm ออกไป 1 ปี จากเดิมปี 64 เป็นปี 65 เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาโครงการฯ ที่ไม่สามารถจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)ได้ตามระยะเวลา โดยมอบให้ กกพ. ไปดำเนินการแจ้งผู้ได้รับการคัดเลือก ให้จัดทำรายงานแผนการดำเนินการโครงการฯ และจัดส่งให้ กกพ. ภายในวันที่ 30 ต.ค.63 เพื่อพิจารณา และนำผลการพิจารณา มารายงานต่อ กบง. ต่อไป
นายวัฒนพงษ์ กล่าอีกว่า กบง.เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันกลุ่มดีเซล จากนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล บี10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดพื้นฐานของประเทศ กรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) ได้ปรับเปลี่ยนชื่อเรียกน้ำมันกลุ่มดีเซล โดยมีน้ำมันดีเซลบี7 และน้ำมันดีเซลบี 20 เป็นทางเลือก จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.63 เป็นต้นไป และการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซล บี 7 ในส่วนของค่า X จากเดิมเป็นค่าเฉลี่ย เป็นอัตราต่ำ ซึ่งจะทำให้การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซล บี 7 ลดลงประมาณ 0.051 บาทต่อลิตร (ณ ราคาไบโอดีเซล 25.90 บาทต่อลิตร)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลบี 10 ในการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม